Monday, December 30, 2013

ตรวจร่างกายขอวีซ่า ไม่ต้องอดอาหารครับ

วันได้มีโอกาสช่วยลูกค้าท่านหนึ่งติดต่อทำการจองคิวตรวจร่างกายสำหรับขอ PR ที่นี่

ในระหว่างที่เราถือสายรอเจ้าหน้าที่จากคลีนิก ลูกค้าท่านนี้ก็ส่งข้อความมาบอกว่า ไม่อยากตรวจวันนั้น ไม่อยากตรวจวันนี้ เพราะต้องทำงาน กลัวหมดแรงเวลาไปตรวจร่างกาย ตรวจเลือดต้องอดอาหารหลังเที่ยงคืน

โอ้ ทำงานอิมมิเกรชั่นมา 6 ปี ลูกค้าไปตรวจร่างกายก็หลายคนหละ ก็เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละว่าต้องอดอาหารก่อนไปตรวจเลือด ก็เลยอธิบายให้ลูกค้าท่านนี้ว่า การไปตรวจร่างกายทำวีซ่าหรือขอ PR นั้น ไม่เหมือนการตรวจร่างกายประจำปีที่เราๆทำกัน การตรวจร่างกายนี้ก็เพื่ออยากจะรู้ว่าเรามี  HIV หรือโรคติดต่ออะไรหรือเปล่า เพราะประเทศออสเตรเลียก็ไม่อยากได้คนที่เป็นโรคเอดส์หรือโรคติดต่อ เข้ามาในประเทศ ก็เท่านั้นเอง

การตรวจร่างกายขอวีซ่า ไม่ใช่การเช็คใขมันในเส้นเลือด หรือระดับ cholesterol อะไรประมาณเนี๊ยะ ไม่ใช่ครับ ถ้าคุณอยากเช็คใขมันในเส้นเลือด หรือระดับ cholesterol คุณก็ไปหาหมอประจำตัวของคุณ ไม่ใช่หมอของอิมมิเกรชั่น

สรุปคือถ้าได้ทำการ book วันตรวจแล้วก็เดินดุ่มๆไปตรวจร่างกายได้เลยครับ

ไม่แน่ใจอะไรก็สอบถามไปที่ registered migration agent หรือ migration lawyer ใกล้ตัวคุณนะครับ

Saturday, December 21, 2013

ค่าสมัครวีซ่า แพงเกิน

มีความรู้สึกว่า ตั้งแต่ทางอิมมิเกรชั่นมีการปรับราคาของการยื่นวีซ่า มีความรู้สึกว่า อะไรมันก็แพงไปหมด ไม่ใช่แค่แพงธรรมดา อย่างเช่นวีซ่าของเด็กที่ติดตามพ่อหรือแม่ที่แต่งงานกับฟรั่งที่นี่ ก่อน 1 July 2013 มันแค่ $220 เอง แต่หลังจาก 1 July และ 1 September ก็มีการปรับเพิ่มเป็น $2,570

- งง ว่ามันจะปรับเพิ่มอะไรได้ถี่ขนาดนั้น จาก 1 July ไป 1 September มันแค่ 2 เดือนเอง
- งง ว่ามันปรับเพิ่มอะไรได้ถึง 10 เท่าเลยเหรอ

เราเป็น registered migration agent หนะไม่เป็นไรหรอก เพราะเราไม่ได้จ่ายค่าพวกนี้อยู่แล้ว แต่บอกตามตรงว่า "สงสารลูกค้า" มาก

อย่างพวก Skill Migration หรือ พวกวีซ่าทำงานแล้วนายจ้าง sponsor ทำ PR, main applicant เองก็ $3,520 จากเดิม $2,900 ปลายๆ และถ้ามีแฟน สามีหรือภรรยา ก็เพิ่มไปอีก $1,760 สรุปคือ ถ้ามาทั้งผัวและเมียก็รวมแล้ว $5,280

มีความรู้สึกว่าทางรัฐบาลเองคงหาเงินกับพวกสมัคร immigration visa จริงๆ

Sunday, November 24, 2013

วีซ่าทำงาน subclass 457 ทำยากกว่าเดิมมาก

หลังจาก 1 July 2013 เราก็ได้มีโอกาสทำ วีซ่า 457 ให้ลูกค้า อยากจะบอกว่า วีซ่า 457 ก่อน 1 July กับหลัง 1 July นั้นแตกต่างกันมาก เป็นอะไรที่หยุมหยิมและเรื่องมาก อย่างเช่น

- นายจ้างต้อง make sure ว่า terms & conditions ทุกอย่างให้ทำให้พนักงานต่างด้าว 457 นั้น ไม่ได้เสียเปรียบหรือได้ผลประโยชน์น้อยกว่าพนักงานที่เป็น Australian เพราะทาง immigration และ government กลัวว่านายจ้างส่วนมากจะไปจ้างคนต่างด้าว 457 เพราะกลัวว่าจะจ้างได้ถูกหรือประหยัดเงินมากกว่า เพราะว่าถ้านายจ้าง จ้างคนต่างด้าว 457 ได้ถูกกว่าจ้างคน local ก็จะไม่มีนายจ้างที่ใหนจ้างคน local เลย ดังนั้นหลังจาก 1 July 2013 นายจ้างต้องยื่น contract of employment ไปให้ทาง immigration เช็คด้วยว่าสัญญาการว่าจ้างงานนั้น OK มั๊ย เป็นสัญญาว่าจ้างอันเดียวกันที่ทำให้คน local หรือเปล่า แล้วสัญญาว่าจ้าง contract of employment ก็ไม่ใช่จะทำกันง่ายๆสำหรับธุรกิจเล็กๆ โดยเฉพาะคนไทยซึ่งส่วนมากทำร้านอาหารกัน ไม่มี contract of employment หรอก ถ้าทำงานที่บริษัทใหญ่ๆ องกรใหญ่ๆ ก็ OK

- นายจ้างต้องพิสูจน์ด้วยว่า นายจ้างมีตำแหน่งงานจริงๆ ไม่ใช่พี่ชายสร้างตำแหน่งปลอมๆขึ้นมาเพื่อจ้างน้องชายอะไรทำนองนี้ ถ้าเป็นร้านอาหารก็ต้องมีการถ่ายรูปทั้งข้างนอกและข้างในร้าน เมนูอาหาร เมนูเครื่องดื่ม เพื่อที่ทาง immigration จะได้เช็คว่าจริงๆแล้วนายจ้างมีความจำเป็นมากน้อยแค่ใหนที่ต้องจ้างคนต่างด้าว 457

- Business Organization Chart ก็ต้องอธิบายว่า มีพนักงานกี่คน แต่ละคนทำตำแหน่งอะไรมั่ง เป็นคน local กี่คน เป็นคนต่างด้าวกี่คน แต่ก่อน 1 July 2013 ก็ต้องยื่น Business Organization Chart อยู่แล้ว แต่หลังจาก 1 July 2013 มีความรู้สึกว่าต้องอธิบายอะไรต่างๆให้ละเอียด บาง case ก็ทำไป 5-6 หน้ากระดาษ A4 ก็มี

ง่ายๆ สั้นๆคือ วีซ่า 457 ทำยาก หลัง 1 July 2013 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้ ทำได้ครับ แต่ paperwork เยอะมาก ถ้าใครกะจะทำวีซ่าทำงาน 457 แนะนำให้เตรียมเอกสารให้ดีๆ เตรียมกันตั้งแต่เนิ่นๆ และก็ปรึกษาผู้รู้นะครับ ไม่ต้องปรึกษาเพื่อน (ผู้ไม่รู้)


Tuesday, October 22, 2013

ขอวีซ่าท่องเที่ยวเพื่อทำงาน ไม่แนะนำนะครับ

วันนี้มีคนโทรมาปรึกษา ว่าแฟนวีซ่านักเรียนจะหมด และช่วงที่ถือวีซ่านักเรียนอยู่นี้ก็ไปเป็น nanny คนเลี้ยงลูกให้ฟรั่งที่นี่ ก็เลยอยากจะทำวีซ่าท่องเที่ยวอีกปีเพื่อที่จะอยู่เลี้ยงเด็กต่อ

ผมไม่แนะนำนะครับ เพราะวีซ่าท่องเที่ยวจริงๆแล้ว ก็ทำเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ เพื่อให้มีการจับจ่าย และนำเงินต่างประเทศเข้ามาประเทศนี้ ไม่ควรมีอะไรแอบแฝง

และการที่อิมมิเกรชั่นจะออกวีซ่าท่องเที่ยวให้นั้น เราก็ต้องโชว์เงินในบัญชี เพราะคนเราจะมาเที่ยวมันก็ต้องมีเงินในปัญชี ถึงจะมาเที่ยวได้ ถ้าไม่มีเงิน แล้วจะมาเที่ยวได้ไง ถูกป๊ะ

หรือถ้าจะให้คนที่เป็นพ่อแม่ของเด็ก โชว์เงินในบัญชี (เพราะเค๊าอยากให้มาเลี้ยงลูกเค๊า) ก็คงยากเพราะว่าฟรั่งคู่เนี๊ยะ ไม่ได้เป็นญาติอะไรกันกับเรา เพราะวีซ่าท่องเที่ยวถ้าจะโชว์เงินในบัญชีคนอื่น คนนั้นก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกันกับเรานะครับ คือเป็นคนในครอบครัว หรือ family member ไม่ใช่คนแปลกหน้า

เค๊าถามจะสมัครได้มั๊ย อยากสมัครก็สมัครได้ครับ แต่โอกาสผ่านหนะน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย

Sunday, August 4, 2013

457 Training benchmark

หลายๆคนอาจสงสัยว่า training benchmark ของ working visa 457 วีซ่าคืออะไร

training benchmark ของ working visa 457 คือรายจ่ายที่นายจ้างต้องจ่ายเพื่อเป็นการแสดงออกถึง commitment ว่า นายจ้างมีความจริงใจในการฝีกพนักงานที่เป็น Australian citizen หรือ Australian permanent resident เพื่อให้พวกเค๊าเหล่านั้นมี skill มีทักษะ ในการประกอบอาชีพ เพื่อเป็นการแสดงออกว่า นายจ้างไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาคอยที่แต่จะจ้างคนต่างด้าวมาทำงาน

Training benchmark ของ working visa 457 คือรายจ่ายอะไรก็ได้ ที่มันเป็นการ up skill ของพนักงาน ที่เป็น Australian citizen หรือ Australian permanent resident อาจจะเป็นการลงทะเบียนเรียน course สั้นๆ ที่ TAFE หรือ college หรือการไป seminar หรือการไปฝีกงาน ฝีกอบรม หรือการสมัครเป็นสมาชิกของวารสารต่างๆที่เกี่ยบข้องกับธุรกิจที่นายจ้างทำ

ดังนั้นรายจ่ายของ  training benchmark เนี๊ยะ ขึ้นอยู่กับนายจ้าง หรือ immigration agent ว่าจะ creative ในการคิดแค่ใหน เอาอะไรมา claim ขอให้มีหลักฐานและ creative ในการอธิบายนิดหนึ่ง ก็น่าจะ OK

 training benchmark ก็ต้องมีใบเสร็จมาโชว์ว่าจ่ายเงินไปเท่าไหร่ในการ  training แต่ละครั้ง แต่ละอย่าง
ใบเสร็จก็ต้องเป็นใบเสร็จ 12 เดือนก่อนวันยื่นเรื่องนะครับ ดังนั้นนายจ้างใหนที่ไม่พร้อมเรื่อง  training benchmark ก็สามารถติดต่อสถาบันต่างๆ TAFE, college, University เพื่อจัดการเรื่อง  training benchmark ได้ โดยที่จ่ายเงินค่า course ค่า  training ไปก่อน แล้วส่งพนักงานไปเข้า course ทีหลังก็ได้ ขอให้ได้ใบเสร็จมาก่อนก็เป็นพอ

immigration agent ส่วนมากจะมีข้อมูลเรื่อง  training benchmark เยอะเลยครับ เพราะ TAFE, college, University และบริษัทที่ทำการ  training ต่างๆส่ง brochure มาโฆษณาเต็มเลยครับ ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะหา course ในการ  training ไม่ได้ เพราะ immigration agent ส่วนมากจะมีข้อมูลพวกนี้อยู่แล้ว แพงแต่ว่านายจ้างพร้อมที่จ่ายกับรายจ่ายตรงนี้มากน้อยแค่ใหน เท่านั้นเอง

 training benchmark ก็ต้องเป็น 1% ของยอด payroll ใน 12 เดือนที่ผ่านมา ง่ายๆ สั้นๆ คือ 12 เดือนที่ผ่านมา นายจ้างจ่ายค่าแรงไปเท่าไหร่ (payroll) นายจ้างก็ต้องจ่าย 1% เป็นค่า  training benchmark ด้วย

อยากได้ข้อมูลที่แจ่มๆกว่านี้ ก็แนะนำให้ติดต่อ immigration agent ของคุณๆท่านๆกันเอาเองนะครับ หรือติดต่อหาผมได้จากเบอร์ข้างบน


Tuesday, April 23, 2013

การเปลี่ยนแปลงของ working visa; 457 ที่กำลังจะเกิดขึ้น

1 July ที่จะถึงนี้ ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อยนะครับ สำหรับวีซ่าทำงาน working visa subclass 457 ที่คนไทยหลายๆคนถือกันอยู่ โดยเฉพาะคนที่ทำงานเป็น chef กัน

คนใหนที่ได้วีซ่า 457 และเตรียมตัวที่จะทำ PR ก็รอดตัวไป แต่คนใหนที่คิดจะทำ working visa 457 หลังจาก 1 July 2013 เป็นต้นไป อะไรต่างๆก็จะยากขึ้นมาอีกนิดหนึ่งก็ครับ ก็ไม่อยากสะจนทำเรื่องไม่ได้นะครับ แต่ขั้นตอนและ paperwork อะไรต่างๆก็อาจจะซับซ้อนและวุ่นวาย จุกจิก ขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นก็มี:
- ทางอิมมิเกรชั่นจะเข้มงวดมากขึ้นในการเช็คว่าธุระกิจนั้นได้ทำธุระกิจตามที่แจ้งมาจริงหรือเปล่า
- market salary exemption จะเพิ่มจาก $180,000 เป็น $250,000
- จะมีการยกเลิกการขอยกเว้นทักษะภาษาในบางวิชาชีพ นอกเสียจากวิชาชีพที่มีรายได้เกิน $92,000 ต่อปี
- ทางอิมมิเกรชั่นจะมีการสุ่มเข้าไปเช็คสถานที่ทำงานของเจ้าจองกิจการมากขึ้นเพื่อ make sure ว่าสถานที่ทำงานและ working condition ต่างๆได้มาตรฐานของ Australia.
- ทางอิมมิเกรชั้นจะเข้มงวดมากขึ้นในเรื่องของการฝึกงาน เพื่อเพิ่ม skill และทักษะให้กับพนักงานท้องถิ่นที่เป็น PR หรือ citizen

Monday, January 28, 2013

Prospective Marriage Visa วีซ่าคู่หมั้น จะแต่งหรือไม่แต่งดี


มีลูกค้าหลายคนเข้ามาปรึกษา โดยเฉพาะลูกค้าฝรั่ง Australian ผู้ชาย ว่า เอ๊ะ เจอแฟน online เจอกัน face-to-face ไม่กี่ครั้ง แต่คุย online กันทุกวัน ตอนนี้รักกันมาก อยากให้ฝ่ายผู้หญิงมาอยู่ที่นี่ จะแต่งดีหรือไม่แต่งดี เพราะอายุก็ middle age แล้ว แถมผ่านประสบการณ์การหย่าล้างกับภรรยามาแล้วด้วย กลัวกับการมี commitment มาผูกมัด

ลูกค้าหลายๆคน ไม่ค่อยรู้ว่า option ในการทำ visa นั้นมีอะไรมั่ง เพราะ option แต่ละตัว และ condition แต่ละตัว ไม่เหมือนกัน แต่ละ visa แต่ละ category มีความแตกต่างกัน

ก็อยากจะบอกว่า ลูกค้าทุกคน มี circumstance ที่แตกต่างกันนะครับ case ของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ความคิดเก่าๆ ความคิดเดิมๆ และคำแนะนำจากญาติๆ และเพื่อนๆอะไรนั่นหนะ หมดสมัยแล้วหละครับ เพราะ กฎหมายมีการเปลี่ยนแปลงตลอด immigration agent เอง ก็ต้อง update ตัวเองทุกปี 

ถ้าใครที่ไม่อยากมีอะไรผูกมัด แต่อยากให้แฟนมาจากต่างประเทศ มาลองอยู่ด้วยกัน มาลองใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก่อน ตอนนี้ in love กันมาก เพราะอยู่ห่างกัน แต่พอมาอยู่ด้วยกันจริงๆ เห็นหน้ากันทุกวัน อาจจะอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็มี ถ้าเป็นแบบนั้น ก็แนะนำให้ทำ Prospective Marriage Visa แทน ดีกว่าที่จะบินไปหาแฟน แต่งงานที่โน่น ทำเรื่องเอาแฟนมา อยู่ด้วยกันไม่ได้ ต้องมาหย่ากันอีก สรุปคนที่รวยคือทนายที่ทำเรื่องหย่าครับ

Prospective Marriage Visa คือ visa สำหรับคู่หมั้น ก็คิดว่าจะแต่งงานกัน แต่จะมาแต่งที่ Australia วีซ่าตัวนี้ อนุญาตให้คู่หมั้นเดินทางเข้ามาในประเทศ Australia ได้ พอเดินทางเข้ามา ต้องแต่งงานภายใน 9 เดือน แล้วก็สามารถยื่นเรื่องทำ Partner Visa อยู่ต่อได้เลย

ข้อเสียของ Prospective Marriage Visa คือ ต้องยื่นเรื่อง ต้องทำ paperwork 2 ครั้ง ครั้งแรกทำ Prospective Marriage Visa ครั้งที่ 2 ทำ Partner Visa เหนื่อยและปวดหัวกับ paperwork แต่ข้อดีก็คือ ในช่วง 9 เดือนนี้ ถ้าอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็สามารถเลิกลากันไป เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋า บินกลับได้เลย ไม่มีข้อผูกมัด ไม่มี commitment อะไรทั้งสิ้น

นี่ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ใครคิดจะทำอะไร จะเลือก option ใหน ตัดสินใจกันดีๆนะครับ