Wednesday, October 21, 2020

วีซ่าขาด โดนแบน 3 ปีจริงหรือ


"หว่อเหินห่าว" เป็นชาวต่างชาติ วีซ่าขาดที่ประเทศออสเตรเลีย (ไม่ใช่มีแต่คนไทยนะเธอ)

หว่อเหินห่าว มีแฟนเป็น PR ที่นี่
หว่อเหินห่าวเดินทางกลับประเทศของเขา

หว่อเหินห่าวต้องการยื่น Partner Visa เพื่อกลับมาอยู่กับแฟนซึ่งเป็น PR

หว่อเหินห่าวอย่างรู้ว่าหว่อเหินห่าวต้องรอ 3 ปีถึงจะขอวีซ่าได้ ใช่หรือไม่

คำตอบ: "ไม่ต้องรอจ๊ะ บินกลับประเทศ แล้วทำเรื่องมาได้เลย"

ที่บอกว่าโดนแบน 3 ปีหนะคือพวกวีซ่าชั่วคราว พวก temporary visa อย่างเช่นวีซ่านักเรียน วีซ่าท่องเที่ยว วีซ่าทำงาน

แต่ Partner Visa เป็น permanent visa จ๊ะ ไม่ใช่วีซ่าชั่วคราว

ดังนั้น หว่อเหินห่าวไม่ต้องรอ 3 ปี
บินกลับไปแล้วยื่นเรื่องได้เลย

เรื่องบางเรื่อง ต้องปรีกษาคนที่มี MARN นะจ๊ะหนู

Wednesday, October 7, 2020

Partner Visa; Document List

Document list for Partner Visa


Applicant

  • ใบเกิด ทั้งภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ

  • photocopy passport

  • ถ้าเคยเปลี่ยนชื่อมาก่อน ก็ขอใบเปลี่ยนชื่อด้วยนะครับ ทั้งภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ

  • ถ้าเคยแต่งงานมาก่อน ก็ขอใบสมรส หรือใบหย่าด้วยนะครับ ทั้งภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ

  • Police check จากเมืองไทย และที่ Australia (หลังจากที่ยื่นแล้ว)

  • bank statement ส่วนตัว 1 ปี ย้อนหลัง (อย่างต่ำ)

  • ชื่อ วันเดือนปีเกิด พ่อ แม่ (ทั้งที่มีชึวิตอยู่และเสียแล้ว) พี่ และ น้อง ทุกคน รวมทั้งประเทศที่เค๊าอาศัยอยู่ปัจจุบัน

  • ที่อยู่ 10 ปีย้อนหลัง

  • ประเทศ ทุกประเทศ ที่เค๊าเคยเดินทางเข้าออก วันเดือนปี ทุกประเทศ

  • Personal statement เขียนลายละเอียดว่า เจอกันยังไง รักกันยังไง เป็นภาษาอังกฤษ อย่างต่ำ 2 หน้า



Sponsor

  • photocopy passport

  • Australian police check

  • ถ้าเคยเปลี่ยนชื่อมาก่อน ก็ขอใบเปลี่ยนชื่อด้วยนะครับ เอาฉบับแปล ภาษาอังกฤษ

  • ถ้าเคยแต่งงานมาก่อน ก็ขอใบสมรส หรือใบหย่าด้วยนะครับ ฉบับแปล ภาษาอังกฤษ

  • หลักฐานว่าเป็น PR หรือ Citizen

  • bank statement ส่วนตัว 1 ปี ย้อนหลัง (อย่างต่ำ)

  • ชื่อ วันเดือนปีเกิด พ่อ แม่ (ทั้งที่มีชึวิตอยู่และเสียแล้ว) พี่ และ น้อง ทุกคน รวมทั้งประเทศที่เค๊าอาศัยอยู่ปัจจุบัน 

  • Personal statement เขียนลายละเอียดว่า เจอกันยังไง รักกันยังไง เป็นภาษาอังกฤษ อย่างต่ำ 2 หน้า



เอกสารร่วมกัน

  • join bank statement

  • ใบทะเบียนสมรส (if applicable)

  • หลักฐานทุกอย่างที่สามารถโชว์ว่า รักกันจริง อยู่ด้วยกันจริง

    • รูปถ่าย ทั้งถ่ายคู่และถ่ายหมู่

    • หลักฐานการเดินทางด้วยกันถ้ามี

    • bill ต่างๆที่ส่งมาที่เดียวกัน

    • join credit card statement, ถ้ามี


ลูก (ถ้ามี):

  • ใบเกิดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

  • ถ้าเคยเปลี่ยนชื่อก็ขอใบเปลี่ยนชื่อด้วยทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

  • พาสปอร์ต

  • ใบรับรองบุตร (ว่าเราได้รับการยินยอมให้เป็นผู้ดูแลบุตรแต่เพียงผู้เดียว)



นี่ก็เป็นเอกสารหลักๆนะครับ

ก็จะปลีกย่อย อีกบ้างเล็กน้อย เแล้วแต่ case นะครับ


Tuesday, October 6, 2020

วีซ่าขาดฟ้องคนได้มั้ย


คนเราเมื่อวีซ่าขาด ไม่ได้แปลว่าความเป็นคนหรือ basic human right ของเราจะลดลง

เรื่องวีซ่าขาด กับเรื่องของสิทธิมนุษยชนขึ้นพื้นฐานเราต้องแยกกันให้ออก

ถ้าหากใครมารุกรานสิทธิมนุษยชนขึ้นพื้นฐาน เราก็สามารถทำการฟ้องได้

อ่านให้ดี ๆ นะครับ
"ฟ้อง" ไม่ใช่แจ้งความ

แจ้งความกับตำรวจหนะมันช้า เรื่องบางเรื่องตำรวจก็ทำอะไรมากไม่ได้
ถ้าฟ้อง ก็ต้องขึ้นศาล
เมื่อเราจะต้องขึ้นศาล... รู้หรือไม่ว่าคนที่วีซ่าขาดก็จะสามารถขอ Bridging Visa E เพื่อที่จะรอขึ้นศาลหรือรอฟังคำตัดสินหรือพิพากษาของศาลได้

จากที่เคยวีซ่าขาด ตอนนี้ก็ได้ Bridging Visa E แล้ว
มีตัวตน เดินเหินในสังคมได้ ไม่ต้องหลบซ่อน

วีซ่าขาดไม่ได้แปลว่าเราต้องเป็นเบี้ยล่าง โดนกดขี่ข่มเหงเสมอไป
Basic human right เราต้องมี

Note: เรามีหน้าที่แค่ให้ข้อมูล ไม่ได้ยุยงส่งเสริมให้คนวีซ่าขาด ไม่ต้อง LINE หรือ inbox มาด่า ด่ามาเราจะด่าตอบ ไปฝึกมาแล้วกับ "พิมรี่พาย"

กดขี่ข่มเหงคนอื่น...

อย่า-ทา-หรรม

อย่าหาทำ

วีซ่าขาด & Bridging Visa E; Identity & Privacy

เมื่อน้องวีซ่าขาดโดน post ประจานในกลุ่ม "สังคมเสื่อม" แบบไม่มีการเบลอหน้าเบลอตา

ถ้าน้องคิดว่ามันเป็นการกระทำที่คุกคามในเรื่องของ Privacy Act น้องก็สามารถฟ้องได้

ฟ้องทั้งคน post และเจ้าของกลุ่ม "สังคมเสื่อม"

อย่าไปแจ้งความกับตำรวจให้เหนื่อยเปล่าเลย ตำรวจทำงานช้า

เรื่องบางเรื่องมันก็ต้องฟ้องเลย จะได้จบ ๆ ไป

อย่างที่เราเคย post ไปเมื่อ 23 Aug 2020, เรามีทนายความส่วนตัวให้จ๊ะ Andrew Lee Lawyer เดี๋ยวจัดการให้ได้

ราคาไม่แพง


ถ้าเรื่องอยู่ในระหว่างการขึ้นโรงขึ้นศาล

เราสามารถขอ Bridging Visa E เพื่ออยู่ดำเนินคดีได้นะเออ

เป็นอีกหนทางหนึ่งในการขอ Bridging Visa E นะ... why not!!!

จากที่เคยวีซ่าขาด ก็เลยขอ Bridging Visa E ได้ซะเลย

เป็นไงหละ


Note: P' J มีหน้าที่แค่ให้ข้อมูล ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดทั้งสิ้น


post ประจานคนอื่นตามกลุ่มต่าง ๆ 

อย่า-ทา-หรรม

อย่าหาทำ

Friday, October 2, 2020

Partner Visa; วีซ่าขาด ได้ TR & PR พร้อมกัน


คนสมัคร Partner Visa ก็วีซ่าขาด
แฟนที่สปอนเซอร์ก็มีคดีติดตัว
แต่เราก็จัดการให้ได้
ไม่ได้ยากเกินเอื้อม

ได้ TR และ PR พร้อมกัน
พร้อมทั้งลูกสาวด้วย

คนที่วีซ่าขาดแล้วออกไปยื่นเรื่องที่นอกประเทศได้กลับมาทุกคน
ตลอดระยะ 12 ปีที่ผ่านมาที่เราทำ case

ขอบคุณที่เลือกใช้บริการของเรา
ขอบคุณที่เชื่อใจเรา ไม่ทู่ซี้อยู่ต่อ 

บางทีคนเราก็ต้องยอมที่แยกกันชั่วคราว
อดเปรี้ยวไว้กินหวาน

เป็นไงหละ ได้ TR + PR ภายในเวลาเดียวกัน
เราจัดให้ได้

ถ้ามงไม่ลงจะงงมาก :)

สินค้าดีใช้แล้วช่วยบอกต่อ

Citizenship; 10th birthday

 

ขอบคุณน้อง "spiderman" มากเลยครับ สำหรับ such a lovely card you've given me
น่ารักมากเลยครับลูก
ลุงจอห์นจะเก็บ card นี้เอาไว้ตราบนานเท่านาน

ตอนนี้หนูอายุเพิ่งจะ 10 ขวบเอง
เรียนอยู่ year 4 อาจจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับหนูในช่วงนี้ยังไม่ได้

ขอให้หนูเป็นเด็กดี
เป็นคนดีของสังคม
ไม่ทำตัวเหมือนลุง ๆ ป้า ๆ หลาย ๆ คนในกลุ่ม "เผือก" นะลูก
พวกเราเป็นคนดี พวกเรามีค่ามากกว่านั้น

สังคมนี้จะน่าอยู่อีกเยอะ ถ้าสังคมมีคนดี ๆ เด็กดี ๆ อย่างหนู
ลุงจอห์นขอให้หนูตั้งใจเรียนนะลูก
เป็นคนดีของพ่อแม่และครอบครัว

เกิดที่นี่ และใช้เวลาอยู่ที่นี่ 10 ปีแรกก็สามารถเป็น citizen ได้
หลาย ๆ คนที่ส่ง inbox เข้ามาสอบถาม
ก็ลองไล่ ๆ อ่านดูก่อนนะครับ ข้อมูลส่วนมากมีแล้วใน blog และ page นี้

ศึกษาข้อมูลก่อน 
ทำการบ้านมาก่อน
จะได้ไม่เสียเวลาซึ่งกันและกัน 
วันหนึ่งมีแค่ 24 hr
หรือจะให้อธิบายแบบ "พิมรี่พาย"

Thursday, October 1, 2020

Winning at the AAT; Child Visa


“เฌอเอม” อาจจะมงไม่ลง แต่ “เฌอ-J” มงลงจ๊ะ
Winning at the AAT

Child Visa, น้องอายุเกิน 25 แล้ว ก็ชนะที่ AAT ได้

กับ case ที่โอกาสผ่านน่าจะมีแค่ 0.001%
เราก็พลิกผันสถานการณ์ได้
จริง ๆ ก่อน AAT เรียก hearing เราก็บอกคุณแม่และน้องเอาไว้แล้วว่าให้เผื่อใจไว้ด้วย เพราะอายุน้องก็เกินแล้ว และก็อะไรอีกหลายอย่าง ไม่ขอลง detail (privacy)

ทั้งเราและคุณแม่ของน้องและตัวน้องเอง ก็เตรียม Plan B เอาไว้แล้ว
แต่เราก็อยากจะให้มันจบที่ AAT แหละ น้องจะได้ PR เลย

จะได้ไม่ต้องไป Plan B เสียเงินค่าสมัครอีก

พวกเราซักซ้อม ถาม-ตอบ คำถามกันเหมือน “เฌอเอม” เลย
ซ้อมกันอยู่ 2 รอบก่อน hearing

case AAT ของเราทุก case เราจะมีการซักซ้อมกันก่อน
เพื่อจะได้ไม่ตื่นสนาม
เราดูแลกันแบบนี้ทุก case

ถึงแม้ “เฌอเอม” มงจะไม่ลง
แต่ “เฌอ-J” มงลงจ๊ะ

จาก case ที่คิดว่าโอกาสผ่านน่าจะอยู่ที่ 0.001%
มันทำให้เรารู้ว่า "เฮ้ย ต้อง fight สิ, fight จนวินาทีสุดท้าย" และไหวพริบในการตอบคำถามด้วย เพราะเราต้องกล่าวปิดท้ายตอนสรุปให้น้องอยู่แล้ว

เมื่อทุกฝ่ายทำการบ้านกันมาอย่างดี
ทุกอย่างก็เลยออกมาดี
น้องเองและคุณแม่ของน้องด้วย ก็ทำการบ้านกันมาดีมากถึงมากที่สุด

แต่เราก็ได้รับความเมตตาจากศาล AAT ด้วยแหละ
เพราะ case officer ที่ Perth Office เองที่ทำงานพลาด ไม่ได้เอาข้อมูลบางสิ่งบางอย่างมาประกอบ หรือถามอะไรมาเพิ่ม ถ้า case officer ที่ Perth ถามมา เราก็จะได้อธิบายให้ มันก็น่าจะจบไปที่ Perth office แล้ว เรื่องไม่น่าจะถึง AAT ด้วยซ้ำ

แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี

PR กันไปอีกหนึ่ง case

มงไม่ลงจะงงมาก...

Health Waiver; HIV



คนที่มีเชื้อ HIV ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ในการขอวีซ่าของประเทศออสเตรเลีย

โดยเฉพาะวีซ่าชั่วคราว 
อย่างเช่นวีซ่าท่องเที่ยว หรือวีซ่านักเรียน 
วีซ่าพวกนี้ไม่มีการตรวจเลือดอยู่แล้ว

วีซ่าชั่วคราวจะมีการตรวจร่างกายแค่ทั่ว ๆ ไปและก็ทำ X-Ray ก็แค่นั้นเอง

วีซ่าที่ต้องตรวจเลือด ตรวจหาเชื้อ HIV ก็จะเป็นวีซ่าถาวร หรือ PR ทุกชนิด

สำหรับคนที่มีเชื้อ HIV มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ในการขอวีซ่า

HIV มันสามารถควบคุมได้ ถ้าได้รับการดูแลรักษาอยู่ตลอดเวลา
และวิวัฒนาการทางการแพทย์มันก็เจริญก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ 
ทุกอย่างต้องดีขึ้นสิ

ส่วนคนที่มีเชื้อ HIV การยื่นขอวีซ่าของประเทศออสเตรเลียมันก็จะซับซ้อนนิดหนึง แต่ทุกอย่างก็มีทางออก

เราก็แค่เพียงว่าต้องขอทำเรื่องยกเว้นเรื่องสุขภาพ หรือเราเรียกกันว่า Health Waiver

สิ่งที่เราต้องทำเกี่ยวกับ Health Waiver ก็คือ:
- เราต้องมีหลักฐานว่าเราได้ทำการรักษาโรคนี้มาอย่างต่อเนื่อง
- เราต้องโชว์ว่าเราหรือครอบครัวมีศักยภาพทางด้านการเงินในการดูแลรักษา

และที่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เราต้องคำนวญค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคนี้ตลอดชีวิต ซึ่งทางอิมมิเกรชั่นเขาก็จะมีหมอที่ทำการคำนวญค่ารักษาต่าง ๆ นานาออกมาแหละ แต่เราไม่ต้องเห็นด้วยกับตัวเลขเหล่านั้น เราสามารถคำนวณแล้วใช้ตัวเลขของเราเข้าแย้งได้เพราะ:
- ด้วยวิวัฒนาการที่ดีขึ้น ค่ายารักษาโรคก็ถูกลง
- บางคนก็ได้สวัสดิการจากรัฐบาลไทยในการรักษาโรคนี้ ดังนั้นค่าใช้จ่ายจึงไม่มากตามที่หมอของทางอิมมิเกรชั่นคำนวณมา

ทุกสิ่งอย่าง เราสามารถแย้งได้หมด (ถ้ารู้วิธี)

แต่สิ่งที่เราอยากจะแนะนำก็คือ
คนที่มีเชื้อ HIV ควรจะยื่นเรื่องภายในประเทศออสเตรเลีย เพื่อที่จะได้ Bridging Visa A เพื่อที่จะได้อยู่กันไปยาว ๆ เลย มีอะไรเราจะได้ต่อสู้กันภายในประเทศออสเตรเลีย เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ มันต้องยาวนานกว่า case ทั่ว ๆ ไปอยู่แล้ว ดังนั้นการมี Bridging Visa A นั้นสำคัญมาก

เหนื่อยได้
ท้อได้
พักได้
แต่อย่าหยุด

HIV ไม่ใช่ทางตัน
ทุกอย่างมีทางออก
ศึกษารู้เท่าทัน
ปรีกษาคนที่มี MARN เท่านั้น