Saturday, April 29, 2023

ณ กาลครั้งหนึ่ง; Melb girl called and hung up


ณ กาลครั้งหนึ่ง น่าจะปี 2015/2016 เพราะเราเปิด page แล้ว 13 June 2015
ตอนนั้นเรายังด้อยประสบการณ์นักกับการ dealing กับคนที่เข้ามาขอคำปรึกษา

แต่ก่อนเป็น free consult 

หมู หมา กา ไก่ ใครที่ไหนก็โทรเข้ามาได้ ตอบหมด ตอบทุกคำถาม ไม่เคยกั๊ก
เราเปิดธุรกิจ 2008 ก็จริง แต่จาก 2008 - 2015 มันก็ไม่เฟื่องฟูอะไรขนาดนี้ จนเมื่อเริ่มทำ facebook page เมื่อปี 2015 นั่นแหละ คนก็ติดต่อเข้ามาค่อนข้างเยอะ

เราจำเหตุการณ์นี้ได้ดีไม่เคยลืม
ตอนนั้นขับรถอยู่ที่ Picton Rd, กำลังจะกลับบ้าน (จาก Hume Hwy ไป Piction Rd) มีสายโทรศัพท์เข้ามา แต่ก่อน NSW ยังสามารถรับโทรศัพท์ในระหว่างที่ขับรถ ตอนนี้ไม่ได้แล้ว

วันนั้นสายเข้า เราก็รับโทรศัพท์ตามปกติ
เสียงตามสายจากอีกฝั่งถามว่า "มี office ที่ Melbourne หรือเปล่าค่ะ"
เราก็ตอบไปว่า "ไม่มีครับ... แต่..."
เราพูดยังไม่จบประโยคเลย เขาวางสายใส่เราไปแล้ว

จริง ๆ ตั้งใจจะพูดว่า "ไม่มีครับ... แต่สามารถปรึกษาได้ทางโทรศัพท์นะครับ" เพราะจริง ๆ ตอนนั้นลูกค้าเราก็มีแทบทุกรัฐแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมี office อยู่ที่ Melbourne ซะหน่อย

แต่ก่อนยังไม่มี face-to-face consultation ตาม office ต่าง ๆ ไง
ตอนนั้น 2015/2016 เรายังใหม่มาก กับการ dealing กับลูกค้าในระดับที่ค่อนข้าง mass 

ตอนนั้นก็รู้สึก fail นิดหน่อยที่ถูกอีกฝ่ายวางสายตัดไปแบบนั้น ไม่ได้เปิดโอกาสให้เราพูดให้หมดประโยคเลย

เราก็เลยบันทึกเบอร์เอาไว้เป็นชื่อ "Melb girl called and hung up" ทุกวันนี้ก็ยังเก็บเอาไว้อยู่ ไม่ได้ลบออก ไม่ได้ block อะไรใด ๆ 

หลังจากนั้นเขาก็ยังทักเข้ามาใน inbox แต่เราก็ไม่ได้ตอบ ไม่ได้สนใจอะไรใด ๆ นี่คือเมื่อปี 2015/2016 นะครับ

ผ่านไปไม่นาน เราก็ใจอ่อน 
เขาทักมา เราก็ตอบบ้าง
แต่ก็เป็นการตอบคำถามใน inbox มากกว่า
ก็ถามอะไรมา เราก็ตอบไป สมัยก่อน 2015/2016 มันก็ไม่ได้ยุ่งหัวฟูเหมือนสมัยนี้

อยู่มาวันหนึ่งเขาบอกว่าอยากจะปรึกษาเรื่องวีซ่า subclass 457 ให้ญาติเขา สมัยโน้นมันจะมี subclass 457 ก่อนที่จะมี subclass 482

เขาก็ทักมาประมาณ 9pm - 10pm นะ ค่อนข้างดึก
เช่นเคย เราก็ใจอ่อน ให้เขาโทรเข้ามา เราก็อธิบายและก็บอกไปว่า "เออ ญาติ you ต้องทำแบบนี้ แบบนี้นะ.... blah....blah"
นี่คือดึกแล้วนะครับ 9pm/10pm เราก็อุตส่าห์รับสายให้

หลังจากนั้นไม่นาน 2-3 weeks เรื่องมันก็โป๊ะ เพราะมีคนเอาเขาไป complain ใน facebook group "วีซ่าออสเตรเลีย" (ไม่ใช่ group ของเรานะครับ คนละ group กัน แต่ก่อนเรายังไม่มี facebook group ของเราเอง)

สรุปคือเขารับทำวีซ่าแบบเถื่อน ๆ ครับ ไม่มี MARN ไม่มีอะไรเลย
และไม่ใช่ student agent ด้วย
เห็นบอกว่าไปรับวีซ่านักเรียนด้วย เด็กจ่ายค่าเทอมแล้วไม่เอาตังค์ไปจ่ายโรงเรียน อะไรซักประมาณนี้แหละ

สรุปคือที่ผ่านมา ที่เขาติดต่อมา consult นั่น นี่ โน่น 
ซึ่งก็ free consultation นะครับ
คือเขาเอาคำแนะนำอะไรต่าง ๆ หนะ ที่เราบอกเขาไป ไปทำเรื่องให้กับคนอื่น สรุปก็คือ "เอเจนต์เถื่อน" แหละ

โอ๊ววววว เรารู้แล้ว เจ็บจี๊ดเลย
โดนหลอกใช้

หลังจากนั้นก็เลยต้อง screen ทุก ๆ call มากขึ้น

ประสบการณ์ชีวิตมันสอนอะไรหลาย ๆ อย่าง
ก็เลยระวังตัวมากขึ้นหลังจากนั้นมา

ที่เขียนวันนี้ เพราะมือไป search อะไรไม่รู้ใน contact list ในมือถือ
อ้าว... ชื่อคนนี้โผล่ขึ้นมา

เราทำงานตรงนี้มา 15 ปีแล้วครับ
เจออะไรแปลก ๆ เยอะ
ทุกวันนี้กำแพงก็เลยต้องสูงหน่อย ก็ no choice จริง ๆ 

ยังมี case ที่หลอกให้ทำให้ฟรี ๆ อีกนะ
น้องติดอยู่ต่างประเทศ น้องกลับเข้าประเทศไม่ได้
WhatsApp มาร้องห่มร้องไห้

เราโดนมาหมดแล้วครับ
ทุกวันนี้เงินก็ยังไม่ได้ แต่ก็ยังโชคดีที่เขาจ่ายค่าสมัครเอง ไมได้เข้าเนื้ออะไร แต่ก็เสียเวลาทำให้ฟรี ๆ ไง 

แต่มันก็ไม่ได้เยอะมาก ก็เลยปล่อย ๆ ไป

ชีวิตการทำงาน เราอยู่ตรงนี้มานาน เราก็เจออะไรมาเยอะครับ

ที่เขียนมาทั้งหมด ก็แค่อยากบอกเล่าเก้าสิบช่วง weekend
ว่าชีวิต "J Migration Team" เจออะไรมาบ้าง กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ไม่ง่ายครับ เราผ่านอะไรมาค่อนข้างเยอะ ทุกปัญหา ทุกอุปสรรค ทุกคำดูถูด ทุกคำเหยียดหยาม

เก็บปัญหาเหล่านั้นมาเป็นแรงขับเคลื่อนนะครับ
อย่าเก็บเอาไปเป็นแรงกดดัน

เรื่องเอเจนต์เถื่อนมันก็มีมานานแล้ว
ยิ่งตอนนี้ยิ่งเยอะ เพราะหากินใน online ง่าย

แต่สุดท้ายแล้ว เราก็เชื่อว่า พวกเขาเหล่านั้น ซักวันก็ต้องแพ้ภัยตัวเอง

กับงานที่อยู่ตรงนี้ เราผ่านอะไรมาเยอะครับ
อย่ามองเห็นแค่ trophy ที่เราถือ
มองเห็นบาดแผลเราด้วยละกัน

29/04/2023

Friday, April 28, 2023

Partner Visa; ค่าบริการเท่าไหร่

คำถามยอดฮิตใน email เราแทบจะวันเว้นวันคือ "Partner Visa; ค่าบริการเท่าไหร่" 


ค่าบริการของ Partner Visa ของเราแต่ละ case ไม่เหมือนกันครับ ขึ้นอยู่กับความยากง่าย


โดยเฉพาะคดีและประวัติของสมัครและคนสปอนเซอร์


Case ที่มีมาถึงมือเรา หลาย ๆ case มีความแซ่บอยู่ในตัว ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร แต่ละคนผ่านชีวิตโชกโชนมาในช่วงวัยเด็ก 

หลาย ๆ คนก็เคยก้าวพลาดมาในชีวิต ซึ่งก็ no judgemental เพราะนั่นมันคือชีวิตเขา ไม่ใช่ชีวิตเรา


หน้าที่เราแค่ทำ "วีซ่า" และส่งพวกเขาให้ถึงฝั่งครับ

หน้าที่คนทำงาน มันก็แค่นี้เองจริง ๆ 

ก็ต้อง no emotional attach


สำหรับ Partner Visa; วีซ่าคู่รัก วีซ่าแต่งงาน subclass 820/801 หรือ subclass 309/100 ก่อนที่ให้เรา quote ราคา ช่วยส่ง police check ของทั้งคนสมัครแล้วคนสปอนเซอร์มาให้เราก่อนนะครับ เดี๋ยวเราจะ quote ราคากลับไปให้


ส่วนเรื่องการขอ police check นั่น นี่ โน่น

เดี๋ยวเราคุยกันใน email นะครับ

เพราะแต่ละ case ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเคยไปอยู่ที่ไหนมาบ้างที่เกิน 12 เดือน


ค่าบริการของ Partner Visa; subclass 820/801 หรือ subclass 309/100 ของเราดูแลจนถึง stage 2 นะครับ จนถึงขึ้น PR, ตอนยื่น PR ไม่มีค่าบริการอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น


Case ทุก case ของเรา confidential 

ข้อมูลของลูกค้าไม่เคยรั่วไหล ใครทำเรื่องให้ใคร เจ้าตัวกับคนสปอนเซอร์เท่านั้นที่รู้

วีซ่าท่องเที่ยว & visa cancellation



"สมปอง" มาด้วยวีซ่าท่องเที่ยว; Tourist Visa, subclass 600 ซึ่งไม่สามารถทำงานได้

สมปองแอบทำงานที่ร้านอาหารของคุณน้า
ชีวิตเมืองนอก อันก็ต้องออกสื่อนิตส์นึง เดี๋ยวมันไม่ cool

ก็ต้องถ่ายรูปตอนทำงานลงซื่อ social
มีเงินสดเป็นฟ่อน ๆ บางอยู่บนที่เตียงนอน เรียกคะแนนความอิจฉาของเพื่อนที่อยู่เมืองไทย

สมปองเดินทางกลับเมืองไทย
วันรุ่งขึ้นสมปองได้รับ email จากอิมมิเกรชั่นว่าวีซ่าท่องเที่ยวถูก cancel แล้ว จากวีซ่าท่องเที่ยว 3 ปี เข้าออกทุก ๆ 3 เดือน (มาเยี่ยมญาติ)

...ฝากเอาไว้ให้คริสต์...

โยกย้ายและ student visa level 3


โยกย้ายได้นะครับ ไม่ผิด เพราะทุก ๆ คนก็คือ "Global Citizen" มีความลื่นไหลในการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต


อยู่ภายในประเทศเดียว คนเรายังย้ายเมือง ย้ายจังหวัดได้เลย


นกไซบีเรียมันยังบินหนีหนาวได้เลย (ไม่ต้องขอวีซ่า ดีจัง)

อยู่บนโลกใบเดียวกัน เราก็ต้องย้ายประเทศได้ซิ


ย้ายได้นะครับ ถ้าคุณสมบัติเราครบ

เพราะแต่ละประเทศ แต่ละ jurisdiction มี requirement ที่แตกต่างกัน

ก่อนที่โยกย้ายเราก็ต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนจะมา หรือจะย้ายแบบไหน อะไร ยังไง


ไม่ใช่แค่ "สนใจครับ" "สนใจค่ะ"

เอกสารปลอมเอย

bank statement ปลอมเอย สุดท้ายก็โดน PIC4020 โดนแบน 3 ปี


ขอวีซ่าท่องเที่ยว แต่ขายธุรกิจ ขายร้านอะไรหมดแล้ว

มา "ท่องเที่ยว" แน่นะครับ??

มาแล้วไม่ overstay แน่นะครับ

มาแล้วไม่ขอวีซ่าลี้ภัย แล้วไปทำงานในฟาร์มแน่นะครับ


ขอวีซ่านักเรียน แต่ยกเลิก CoE (Certificate of Enrolment) กันรัว ๆ 

ทุกอย่างมันฟ้องในระบบ PRISMS; Provider Registration and International Students Management System 


ทุกสิ่งอย่างมันคือ factors

มันคือปัจจัย

มันคือ big data 


เมื่อทุกคนอย่างเป็น "ตุ้ม" เดินถ่ายรูปสวย ๆ หลังเลิกงานที่เมืองนอก

เมื่อทุกคนอยากเป็นสาวน้อยร้อยอาชีพ

เมื่อทุกคนอยากขับ Uber ได้เงินเดือน ๆ ละ 200,000.00 บาทไทย 

เมื่อทุกคนได้รับข่าวสาวข้อมูลเรื่องวีซ่าจากติวเตอร์สอนภาษาอังกฤษ


ไม่รู้สึกแปลกบ้างเหรอ


เอาจริง ๆ นะครับทุกคนอยากมีรายได้ที่ดีกันทั้งนั้นแหละ ถ้าชีวิตสบายแล้วพวกเราก็คงไม่ดิ้นรนกันหรอก ถ้ามีอากาศที่บริสุทธิ์กันแล้ว ทุกคนก็คงไม่หนีปัญหา PM2.5 กันมาหรอก 


เราไม่โทษใครทั้งสิ้น

ทุกคนก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นกันทั้งนั้นแหละ

แค่เอาเป็นว่า ถ้าจะมา ก็ทำอะไรให้มันถูกต้องนะครับ

ไม่ทำเอกสารปลอม

ไม่เช่า bank statement

มาวีซ่าท่องเที่ยวต้องไม่แอบทำงาน

มาวีซ่าผู้ปกครอง subclass 590 ต้องไม่แอบทำงาน 

มาวีซ่านักเรียนก็ต้องเรียนหนังสือ ทำงานได้ แต่ก็ต้องไปเรียนด้วย พยายามอย่ายกเลิก CoE กัน


ตอนนี้วีซ่านักเรียนของประเทศไทยตกลงมาที่ level 3 ซึ่งเป็น level ต่ำสุด


แต่ถ้าคนสมัครหลังจากนี้ทำอะไรให้มันดี ๆ มันก็มีการปรับกันขึ้นมาใหม่ได้ครับ อิมมิเกรชั่นจะมีการปรับทุก ๆ 6 เดือน


หลาย ๆ คนบอกว่า "ต้นทุนไม่เท่ากัน"

ก็แล้วแต่มุมของแต่ละคนที่เลือกที่จะมอง

ทุกคนเกิดมามีต้นทุนเท่า ๆ กันนั่นคือ "ความเป็นมนุษย์" อันผิดกฎก็อย่าไปทำ... ก็แค่นั้นเองนะครับ


ชีวิตต้องง่ายนะครับ

ถ้าไม่ง่ายแสดงว่าไม่ใช่

ก็แค่ทำตามกฎของเขา ก็แค่นั้นเอง


Note: เราเขียนในพื้นที่ของเรา อาจจะถูกใจคนนั้นบ้างไม่ถูกใจคนนี้บ้าง บอกตามตรงนะครับว่าตัวเราเองรู้สึก "เฉย ๆ" จะเอาไปแขวน ไปทำอะไร ทำได้หมด... it doesn' t worry me... เวลาโดนฟ้องมาก็ดูสายป่านตัวเองด้วยนะครับ ยาวมากน้อยแค่ไหน!!! อวตารไม่กลัว กลัวไม่อวตาร อย่าลืมว่าเราจบ Master of IT Security (Digital Forensics) นะครับ... ฝากเอาไว้ให้คริสต์


Saturday, April 22, 2023

โยกย้ายแบบไม่ขายฝัน จากวันนั้น 03 Feb 2010 ถึงวันนี้


กับใคร someone เราก็รู้สึก feeling comfortable เป็นพิเศษ

ถึงแม้ไม่ใช่พี่ ไม่ใช้น้องกันจริง ๆ แต่เขาก็เป็น someone ที่คุยด้วยแล้วสบายใจ จากลูกค้า กลายมาเป็น... ตอนนี้อะไรก็ไม่รู้ มันไม่มีคำนิยาม เขาเป็นมากกว่าลูกค้า เขาเป็นมากกว่าพี่สาว (พี่สาวจริง ๆ จะกลัวเรา ไม่กล้าเอะ ไม่กล้าดุ เราดุจะดุพี่สาวแทนไง.... oops!!!)


แต่กับพี่คนนี้ น่าจะเป็นคนไทยในออสเตรเลีย น้อยกว่า 5 คนนะที่สามารถเตือนเราได้ พี่เค๊าก็จะมีวิธีพูดแหละ พูดในฐานะของคนนอก แต่พูดด้วยความหวังดี เตือนด้วยความหวังดี และส่วนมากเราก็จะรับฟังนะ ซึ่งน้อยคนมากที่เราจะรับฟัง เราเป็นคนค่อนข้าง strong อยู่แล้ว ไม่ค่อยแคร์สื่อ เราเติบโตที่ประเทศออสเตรเลียและประเทศสิงคโปร์ครับ มันก็จะเลยออกมาในแนวนี้ที่เป็นอยู่


เราก็ได้พี่คนนี้แหละ คอยตบ ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง เพราะเราต้อง dealing กับคนไทยอยู่ วัฒนธรรมบางอย่างเราก็ต้องรู้ว่ามันคืออะไร ยังไง ใน perspective ของคนไทย อะไรประมาณนี้ (เอาจริง ๆ เราจากเมืองไทยมานาน เกินที่จะแคร์แล้ว ทำได้แค่นี้คือดีมากแล้ว อย่ามาหวังอะไรมากไปกว่านี้เลย คงยากส์หนะ)


ทำไมเราถึงรู้สึก feeling comfortable กับพี่คนนี้เหรอ

เราเปิด "J Migration Team" มาตั้งแต่ 2008 ครับ แต่ก็เป็นมดตัวเล็ก ๆ อยู่ที่ Wollongong

สายตาส่วนมากที่ทุกคนมองในช่วงนั้น; 2008/2009 คือ:

- จะไปรอดเหรอ

- ใครจะมาใช้บริการ

- Wollongong ไกลกัน


สมัยก่อน แค่ได้ทำ case ละเดือนนี่คือหรูแล้ว (เราก็มีงานอย่างอื่นด้วยครับ รับราชการที่นี่)

แค่มีเงินจ่ายค่า MARN ของแต่ละปีก็พอ ที่เหลือคือกำไร เพราะทำเองทุกอย่าง ไม่มีทีมงาน


13 June 2015 เราเริ่มเปิด facebook page: "J Migration Team"

เอาจริง ๆ ไม่คิดที่จะทำจริงจังหรอก เพราะงานอื่นที่ทำอยู่ตอนนั้นก็ค่อนข้างมั่นคง 


13 June 2015 เราเปิด facebook page เสร็จแล้วก็เอาลงไปลง website "Natui.com.au" ซึ่งลงฟรี เราก็ค่อย ๆ มีคนมา follow มากขึ้น สมัยก่อนมันไม่มี facebook group อะไรแบบนี้ และ facebook page ต่างๆ  ก็ไม่เยอะ


2015 เราน่าจะเป็น MARN คนไทยคนเดียวที่มี facebook page 

เอาจริง ๆ คือเราไม่มีเงินไปซื้อโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไทยตอนนั้น และเราก็เน้นทำ page ที่เป็นภาษาอังกฤษ และลงโฆษณากับ GoogleAds ตอนนั้น 


facebook page "J Migration Team" มันเริ่มมาจากความ "ไม่มี"

คือไม่มีเงินไปซื้อโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไทยใน Sydney, เราก็ต้องเน้นสื่อ online นี่แหละ เพราะมันฟรี


เราก็ค่อย ๆ มีคน follow เยอะขึ้นเรื่อย ๆ 

ตอนนั้นมีคน follow 200 คน เราดีมาก และก็มีความสุขกับการเขียน content เพราะน่าจะเป็นคนไทยคนเดียวในออสเตรเลียที่เขียน page อะไรแบบนี้ ตอนนั้น


กับ 200 คนแรกที่ follow page เราตอนนั้น 

คุยกันกระน๊องกระแน๊งกันไป เพราะคนไม่เยอะ

พี่คนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนนั้นพี่เค๊ามาติดตามเพราะวีซ่า subclass 457; วีซ่าทำงานที่มีนายจ้างสปอนเซอร์สมัยนั้น


อยู่มาวันหนึ่ง เรานั่งรอลูกค้าที่จะเข้ามาทำ face-to-face consultation ที่ Wollongong office


ลูกค้าจอดรถแล้ว

กำลังเดินมา

ไอ้เราก็นั่งรอ เลย อ๊ะ ลองทำ facebook LIVE ดูสิ

ตอนนั้น facebook LIVE เป็นอะไรที่ใหม่มากครับ ปี 2015/2016

นั่นเป็นครั้งแรกที่คนเห็นหน้าใน facebook live เพราะปกติจะมีแค่รูป profile ที่ใส่ชุดครุยของ UOW เท่านั้น (เป็นชุดรับปริญญาที่ใส่กางเกงยีนส์... คือถ้าเรามี 5-6 ใบแล้ว เราก็รู้สึกเฉย ๆ กับพิธิรับปริญญาแล้วหละ)


วันนั้นยังจำขึ้นใจ มือสั่น ปากสั่น พูดผิพพูดถูก

ก็ได้พี่คนนี้แหละ เข้ามาทักทายและก็กรี๊ดกร๊าด วี๊ดว๊าย กระตู้หู้

ขอบคุณมากเลยครับพี่ ที่อยู่ข้าง ๆ น้องคนนี้เสมอมา จากวันนั้น ถึงวันนี้ เราไม่เคยลืม พี่คนนี้ก็อยู่เคียงเรามาโดยตลอด พี่เป็นลูกค้าที่น่ารักมาก พี่เขาจะแนะนำเพื่อน ๆ และทุกคนที่แกรู้จัก แกจะแนะนำมาที่เราตลอด ซึ่งจริง ๆ แล้วพี่เขาไม่ต้องทำก็ได้


ทุกสิ่งอย่างที่เรามีวันนี้ food on the table, roof over my head... พี่เขาก็เป็นส่วนหนึ่งแหละ พี่เขาแนะนำลูกค้ามาให้เราเยอะมาก และไม่เคยได้ค่า commission ไม่เคยได้อะไรจากเรา เพราะเราไม่มีระบบอะไรแบบนั้น


จากวันนั้น ถึงวันนี้ พี่เขาได้ citizen แล้วครับ และซื้อบ้านเป็นของตัวเองแล้ว ซื้อช่วง COVID ราคาแพงหน่อย แต่ก็ได้ซื้อแล้ว มีอะไรเป็นของตัวเอง มี sense of belonging 


Roadmap ของพี่เขาคือ:

วีซ่านักเรียน แล้วตามด้วย subclass 457 แล้วตามด้วย subclass 186 (PR) แล้วตามด้วย citizen แล้วตามด้วยบ้าน :)


แต่ทุกอย่างไม่ได้ได้มาง่าย ๆ ครับ

พี่เขาเดินทางมาที่ วันที่ 03 Feb 2010 (ไม่แน่ใจว่าเป็นการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกหรือเปล่านะครับ)


ชีวิตพี่เขาผ่านอะไรมาเยอะมาก

ในปีนั้น Feb 2010, พี่เขาทำงานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านมีที่พักให้ ประมาณว่าน่าจะนอนในห้องเก็บของ


ทำงาน 7 วัน ได้ค่าแรง: $10

อ่านไม่ผิดนะครับ ทำงาน 7 วันได้ค่าแรง $10

เพราะเจ้าของร้านบอกว่า ก็มีที่พักให้แล้วไง

และสมัยก่อนมันไม่มี social media อะไรแบบนี้ พี่แกไม่รู้หรอกว่า $10/week มันเหมาะสมหรือเปล่า อะไร นั่น นี่ โน่น


พออยู่ซักระยะ พอเริ่มไปเรียน ก็ทำให้รู้ว่า ค่าแรง $10/week มันคือค่าแรงทาสชัด


แกก็ต่อรองกับเจ้าของร้าน

ได้ขึ้นค่าแรง $50/week

นี่คือทำงาน 7 วันนะครับ เรียน Mon-Thu ก็ทำกะเย็น


ส่วนแฟนแกที่มาด้วยกัน ก็ช่วยงานที่ร้านเหมือนกัน แต่ไม่ได้ค่าแรง

อ่านไม่ผิดนะครับ "ไม่ได้ค่าแรง"

ก็มีที่พักให้แล้วไง!!!


แฟนแกก็เลยต้องออกไปหางานทำที่อื่น ซึ่งเจ้าของร้านก็เป็นเพื่อนกัน เพราะถ้าอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ค่าแรง

แฟนแกไปทำอีกที่ ได้ $120/วัน แต่ทำคนเดียว เช้า-ดึก

แฟนแกก็ต้องไปทำอีกร้าน เพราะต้องหาเงินจ่ายค่าเรียน


อาหารที่ได้ไปกินที่โรงเรียน คืออาหารอะไรที่ได้ที่เขาทำผิดให้ลูกค้าในแต่ละวัน บางทีก็ได้ spring roll x 4 ชิ้นไปทานที่โรงเรียนมั่ง


เวลาไปซื้อของ grocery ก็ต้องเป็นถือของ เดินตามหลังเจ้าของร้าน เพราะเจ้าของร้านจะไม่ถืออะไรเลย

พักอยู่ที่บ้านเขาก็ต้องทำความสะอาดบ้าน ดูดฝุ่น ขัดห้องน้ำ ห้องส้วม


สุดท้ายพี่เขาก็หนีออกมาจากบ้านพักหลังนั้น หนีออกมาจากการทำงานที่ร้านนั้น ต้องใช้คำว่า "หนี" เลย เพราะภาษาอังกฤษก็ยังไม่เก่งมากนัก ก็มาดิ้นรน เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วยที่ Sydney


ชีวิตพี่เขาไม่ง่ายเลยจริง ๆ 

ตอนนั้นยังไม่มี facebook page "J Migration Team" ยังไม่มีใครมาให้ข้อมูลเรื่องวีซ่า โดยเฉพาะ subclass 457; วีซ่าทำงานที่มีนายจ้างสปอนเซอร์ แกก็โดนหลอกทำ subclass 457 อีก


แต่ก่อนเจ้าของร้านเปิดร้านมาเพื่อขายวีซ่ากันเยอะ โฆษณาใน website; Natui.com.au กันเยอะแยะ พี่แกก็หนึ่งในนั้นที่โดนเจ้าของร้านหลอกจะขาย subclass 457 ให้ พี่เขาโดนอะไรมาเยอะ โดนนายจ้างชาวต่างชาติเอารัดเอาเปรียบ พูดจาดูถูก และอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าจะให้เขียนทั้งหมด คืนนี้คงไม่ต้องนอน สุดท้ายอิมมิเกรชั่นลงตรวจทุกร้านในเครือข่ายเปิดร้านขายวีซ่านี้ และร้านโดนปิดไป...etc...etc...


พี่แกก็เลยเข้ามาติดตาม page คอย update ข่าวสารข้อมูลเรื่องวีซ่า


เราก็รู้สึกยินดีที่ได้ให้ความรู้แก่คนอื่น และสิ่งที่ตามมาก็คือลูกค้า เรากราบขอบคุณจากหัวจิต


โยกย้ายแบบไม่ขายฝัน

ชีวิตทุกคนผ่านอะไรมาเยอะ

บางคนเขาก็ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ปากก็ต้องกัด ตีนก็ต้องถีบ


จากวันนั้น จนถึงวันนี้ พี่เขามาไกลมากแล้วครับ

ได้ PR

ได้ citizen

มีเงินซื้อบ้าน


กราบขอบคุณพี่ทั้ง 2 ที่เข้ามาในชีวิตผมนะครับพี่

ก็อยู่เป็นลมใต้ปีกของกันและกันแบบนี้แหละ 

อย่างที่บอกว่า food on my table, roof over my head พี่คือหนึ่งในนั้นที่ทำให้มันเกิดขึ้น


จากเด็กตัวน้อย ๆ คนนี้

มดตัวน้อย ๆ คนนี้ที่ Wollongong

บุญคุญที่พี่มีแต่เรา คิดว่าชาตินี้ก็คงใช้ไม่หมด พี่แค่อาจจะไม่รู้ตัวว่า "เอ๊ะ ฉันช่วยอะไรคุณจอห์นวะ" พี่ช่วยผมมากเลยครับ เชื่อสิ ลูกค้าแต่ละคนที่พี่แนะนำมา เขาก็บอกต่อกันไปเรื่อย ๆ ยิ่งกว่า Network Marketing อีก


พี่เป็นคนเดียวที่ทำให้เราร้องไห้ตอนทำ facebook LIVE ตอนพี่เขาได้ PR 

แต่ก่อนคน follow ไม่เยอะไง จะร้องไห้ จะอะไรก็ทำได้ (ตอนนี้ไม่ค่อยได้ทำ facebook LIVE แล้วครับ เหนื่อย) ก็ลอง ๆ ค้นหาดูนะครับเพลง "วิมานดิน"


ที่เขียนมาทั้งหมดก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะสื่ออะไร

แค่อยากเขียน

วันนี้ weekend

เพื่อความอรรถรสและความ real ในการเขียน เรานั่งเขียนทีเดียวจบ ไม่ได้ proofread, อาจมีคำผิดเยอะบ้าง.... เขียนเองทุกตัวอักษร (since 2008)


...รักที่สุด...สุดที่รัก...

22/04/2023

Wednesday, April 19, 2023

วีซ่าทำงาน: ร้านอาหาร

วีซ่าทำงานที่มีนายจ้างสปอนเซอร์; subclass 482, subclass 494, subclass 186

ปกติ P' J จะทำเฉพาะร้านที่มีพนักงาน 8 คนขึ้นไปนะครับ
4 คนข้างนอก
4 คนในครัว

8 คนไม่ใช่พนักงานใน shift เดียวนะครับ
8 คนคือพนักงานอย่างต่ำทั้งหมดใน organisation

คือถ้าพนักงานน้อยกว่านั้น เวลาวาด Business Organisation Chart มา มันก็ดูโหลงเหลง แปลก ๆ หู แปลก ๆ ตา

ต่ำกว่า 8 คนก็ทำได้นะครับ
แต่ต้องเขียนเรื่องราวอธิบายเยอะ
เพื่อความเหมาะสมในการสปอนเซอร์
scale ของร้าน, scale ของบริษัทก็ต้องเหมาะสมด้วย

Partner Visa; อายุของคนสปอนเซอร์



Partner Visa, วีซ่าคู่รัก วีซ่าแต่งงาน

อายุของคนสปอนเซอร์ที่เด็กสุดที่ P' J เคยทำ case มาก็อายุ 18 ปีนะครับ
ก็ผ่านนะครับ

เด็กหรือไม่เด็ก อย่าเอาบรรทัดฐานของตัวเองไปวัดกับคนอื่นนะครับ
ฟังคนอื่นมากก็ปวดหัว
มันคนละ case กัน

ไม่ต้องฟังคนอื่นมาก

คนชอบออกความคิดเห็นเยอะ
"ลมปาก" is a cheapest commodity
ไม่ต้องสนใจ

เรื่องบางเรื่อง ปรึกษาผู้รู้ เพื่อความสบายใจนะครับ

Friday, April 14, 2023

AAT; อุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์


"AAT อุทธรณ์หรือไม่อุทธรณ์"

ถ้าวีซ่าโดนปฏิเสธ หรือโดนยกเลิก เราสามารถทำอะไร ยังไง ได้บ้าง

เราก็สามารถอุทรณ์ได้นะครับ เพราะถ้าไม่อุทรณ์ก็ต้อง pack ของกลับบ้านทันที

โดนยกเลิกวีซ่า; visa cancellation:
วีซ่าเราขาดทันที
ถ้าเราไม่อุทรณ์ เราก็ต้องกลับบ้าน แต่เนื่องด้วยเราไม่มีวีซ่าแล้ว ก่อนที่จะเดินทางออกนอกประเทศ ก็ควรจะเข้าไปที่อิมมิเกรชั่นก่อน เพื่อขอ Bridging Visa E, เดินเข้าไปขอเลยครับ ไม่มีค่าใช้จ่าย ประมาณ 5-10 วันก็ได้แล้ว

Bridging Visa E สามารถ apply ได้ online ที่ ImmiAccount
ถ้าจะอุทรณ์ต้องอุทรณ์ภายใน 7 วันทำการ ไม่รวมเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ

โดนปฏิเสธ หรือขอวีซ่าไม่ผ่าน; visa refusal:
วีซ่าไม่ขาดทันทีเพราะมี Bridging Visa อยู่ตอนที่ขอวีซ่านั้น ๆ (substantive visa)
Bridging Visa จะหมดภายใน 35 วัน 

ถ้าไม่อุทรณ์ก็ต้องกลับบ้านก่อนที่ Bridging Visa จะหมดอายุ
ถ้าจะอุทรณ์ก็ต้องอุทรณ์ภายใน 21 วัน 
ดังนั้นถ้าใครที่คิดจะอุทรณ์ ก็ต้องนับวันให้ดี ๆ นะครับ
อย่าพลาด
อย่าตัดสินใจนาน

ถ้าหากเราไม่อยากอุทรณ์ก็ไม่เป็นไร แต่อย่าลืมว่าประวัติการโดนปฏิเสธวีซ่า หรือโดนยกเลิกวีซ่าของเราก็จะเป็นประวัติติดตัวไปตลอดชีวิต ไม่มีวันหมดอายุ ไม่มีการล้างประวัตินะครับ

การอุทธรณ์ไม่ได้หมายความว่าเราอุทรณ์เข้าไปแล้ว case เราจะได้วีซ่ากลับคืนมา หรือวีซ่าเราจะผ่านนะครับ แต่ก็ case-by-case 

อยากให้ทุกคนใช้ชีวิต อยู่บนความเป็นจริง
Be realistic.

1. ถ้าไม่อุทรณ์ก็กลับบ้าน

2. ถ้าอุทรณ์ ก็อยู่แล้วก็สู้ case กันต่อไป หรือถ้าคิดว่ายังไงก็คงไม่ชนะ อย่างน้อยซื้อเวลาเพื่อเตรียมตัวกัน นั่น นี่ โน่น ก่อน ก็ดี เพราะบางคนยังไม่พร้อมที่จะกลับภายใน 35 วัน

ถ้าเรารู้ทั้งรู้ว่าโอกาสที่จะผ่านมีน้อยมาก แล้วเราจะอุทรณ์ไปทำไม

เหตุผลของแต่ละคนไม่เหมือนกัน:

1. บางคนมีธุรกิจที่นี่ ขอซื้อเวลาเพื่อสะสางอะไรบางอย่างก่อน

2. ต้องการอยู่กับแฟน เพื่อให้ครบ 12 เดือน เพื่อจะได้ทำ Partner Visa ต่อไป (de facto) หรือไม่ก็แต่งงานไปเลย

3. บางคนอยู่ที่นี่มานานแล้ว ยังไม่พร้อมที่จะกลับเมืองไทย ขอซื้อเวลาต่อออกไปอีกบ้างเล็กน้อย

4. เหตุผลส่วนตัว หลากหลายกันออกไป

แล้วแบบไหนหละ ที่เราคิดว่าโอกาสผ่านน้อย:
วีซ่าโดนยกเลิก เพราะไม่ไปเรียน ทำงานเพลินหาเงิน เราเข้าใจนะครับ ชีวิตแต่ละคน เกิดมาไม่เหมือนกัน...please don't judge!!

วีซ่านักเรียน ที่ต่อแล้วต่ออีก มา 7-8 ปีแล้ว คงจะต้องถึงเวลาที่จะหมดอาชีพการเป็นนักเรียนเสียที

visa subclass 482, stage 3 ที่ stage 2 ไม่ผ่าน หรือยื่นอุทรณ์ไปแล้วของ stage 2 ก็ไม่ผ่าน ดังนั้น stage 3 ก็ต้องไม่ผ่านไปด้วย automatic (ภาษาทางกฎหมาย เราเรียกว่า natural justice)
...etc...

แล้วแบบนี้อุทรณ์ไปแล้ว case ของเราจะผ่านมั้ย

มันก็ต้องมีการไปแก้เกมส์กันที่ AAT หรือศาลอุทรณ์
มันก็ขึ้นอยู่กับการ present case, present ข้อมูล หาเหตุผลและข้ออ้าง มาโน้มน้าวจิตใจได้อย่างไร

และก็การเขียน submission เข้าไป

AAT จะมี email มาบอกให้เตรียมตัวประมาณ 1 เดือนก่อนที่จะไปขึ้นศาลนะครับ ดังนั้น คนที่อุทรณ์ไปแล้ว รับรองเรามีเวลาเหลือเฝือในการเตรียมตัวและเตรียม case

สำหรับ case ที่จะสู้นะ

แต่ถ้า case ที่อุทรณ์เพื่อซื้อเวลาเฉย ๆ ก็ไม่ต้องทำอะไร เพราะเราคงผิดจริง (โดดเรียนจริง เรียนมานานจริง นั่น นี่ โน่น)

ก็ถือว่าเป็นการซื้อเวลาเพื่อจัดการชีวิตดังที่เรากล่าวไปแล้วเบื้องต้นละกัน

ระยะเวลาที่สามารถซื้อได้ก็คือ:
Bridging Visa: 12 วัน
วีซ่าท่องเที่ยว: 129 วัน
วีซ่านักเรียนที่ไม่ผ่าน: 203 วัน
วีซ่าทำงาน subclass 457: 270 วัน
วีซ่าธุรกิจ: 346 วัน
Skilled Migrant: 312 วัน
Partner Visa: 345 วัน
Family visa: 406 วัน
วีซ่านักเรียนที่ถูกยกเลิก: 144 วัน
Business Sponsor/Nomination, subclass 457, 186, 187: 307 วัน
วีซ่าผู้ลี้ภัย: 400 วัน
อื่นๆ: 103 วัน

อุทรณ์หรือไม่อุทรณ์ ชีวิตเป็นของเรานะครับ
ชอบแบบไหน ก็เลือกเอาแบบนั้น

ไม่ต้องให้ใครมาตัดสินใจแทนเรา
ชีวิตเรา เราต้องเลือกที่จะดำเนินชีวิตเองนะครับ

ขอให้รู้เท่าทันเป็นพอ

Copyright: ถ้าจะแชร์ให้แชร์จากต้นโพสต์เท่านั้น, ไม่ copy & paste, ไม่ screen capture

Monday, April 10, 2023

EOI; Expression of Interest

EOI หรือ Expression of Interest คืออีกหนึ่งของ process ที่กระทรวงอิมมิเกรชั่นใช้ในการคัดเลือกคนสมัครวีซ่าหลายประเภทที่ให้คนสมัครแสดงความจำนงก่อนว่าเขาอยากจะสมัครวีซ่านั้น ๆ 


EOI ถูกนำมาใช้กับพวก Skilled Migrant; subclass 189, 190 & 491
และพวก Business Visa; subclass 188 ด้วย

หลาย ๆ คนอาจจะไม่คุ้นกับ EOI นัก เพราะ EOI จะรู้กันในหมู่คนที่สมัครวีซ่า Skilled Migrant ซะเป็นส่วนใหญ่

สิ่งที่เราควรรู้ก็เกี่ยวกับ EOI ก็คือ:

- EOI นั้นฟรี

- EOI เป็นแค่การยื่นแจ้งความจำนงในการขอวีซ่า เราต้องรอจดหมาย "Invitation Letter" จากอิมมิเกรชั่น เพื่อเชิญเราให้สมัครวีซ่า เราถึงจะสามารถสมัครวีซ่าได้ ภายใน 60 วัน

- เราไม่รู้ว่าเราจะได้ Invitation Letter เมื่อไหร่ โดยเฉพาะพวก Skilled Migrant; subclass 189, 190 & 491. ใครที่ได้ point เยอะกว่า ก็จะถูก invite ก่อน

- EOI ของเราจะถูกเก็บเอาไว้ในระบบเป็นเวลา 2 ปี, หลังจาก 2 ปี เราก็ยังสามารถยื่น EOI ได้เรื่อย ๆ ไม่มีจำกัด

- เราสามารถ update EOI ของเราได้ตลอด 24 ชั่วโมง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าวันนี้เรามี point 65 points ของสาขาอาชีพที่เราจะสมัคร เราก็สามารถสมัครเข้าไปก่อนได้ แล้วถ้าพรุ่งนี้เราสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนที่เยอะกว่าครั้งที่แล้ว เราได้คะแนนเพิ่มขึ้น เราก็ login เข้ามา update EOI ของเราได้ ถ้า point เราเพิ่มขึ้น เราก็จะได้ลัดคิวไปอยู่ด้านหน้า มีโอกาสในการที่จะถูกเรียกเชิญได้เร็วขึ้น

- EOI เป็นระบบ online ที่ update รายวัน ดังนั้นถ้าคนที่ยื่น EOI เข้าไปแล้ว ถ้าหากถึงวันเกิดเรา point ของเราก็จะมีการเปลี่ยนแปลงด้วย ขึ้นอยู่กับอายุปัจจุบัน 

- เนื่องด้วย EOI ฟรี และมันก็แค่เป็นการยื่นความจำนงเฉย ๆ เรายังไม่ได้สมัครวีซ่า ดังนั้นการยื่น EOI จะไม่มีการ generate Bridging Visa ให้ ดังนั้นคนที่อยู่ภายในประเทศออสเตรเลีย ถ้ากะจะยื่น EOI เราก็ต้องทำตั้งแต่เนิ่น ๆ และเตรียมหาวีซ่าของเราไว้ด้วย เผื่อต้องรอนานกว่าเราจะได้ invitation letter

- เรากลับไปรอ invitation letter อยู่นอกประเทศออสเตรเลียได้ เราไม่ต้องรอ invitation letter ภายในประเทศออสเตรเลีย

- เราสามารถยื่น EOI มาจากที่ไหนก็ได้ เพราะมันเป็นระบบ online เราไม่จำเป็นต้องยื่นที่ประเทศออสเตรเลียหรือรออยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย

Copyright: ถ้าจะแชร์ให้แชร์จากต้นโพสต์เท่านั้น, ไม่อนุญาติให้ copy & paste, ไม่อนุญาติให้ screen capture

Friday, April 7, 2023

Skill Assessment คืออะไร


Skill Assessment ไม่ใช่ Skill Assignment

Assignment คือการบ้าน

Assessment คือตรวจเช็คหรือวัดระดับความสามารถ ซึ่งทำได้หลายแบบ


การที่ชาวต่างชาติจะอพยพหรือเข้ามาทำงานที่ประเทศออสเตรเลียนั้น ทางรัฐบาลต้องการที่จะ make sure ว่าวุฒิการศึกษาและประสบการณ์การทำงานของคน ๆ นั้นได้มาตรฐานตามที่ประเทศออสเตรเลียกำหนดเอาไว้หรือเปล่า

ประหนึ่งว่าคล้าย ๆ ใบประกอบวิชาชีพ

บางสาขาอาชีพ Skill Assessment ก็คือใบประกอบวิชาชีพ บางสาขาอาชีพก็ไม่ใช่ เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งลง detail ตอนนี้เลย เดี๋ยวจะยาว เราขอเน้นเฉพาะในส่วนของที่เกี่ยวข้องกับอิมมิเกรชั่นก็แล้วกัน


การทำ Skill Assessment เพื่อขอวีซ่าในรูปแบบของ Skilled Migrant; subclass 189, subclass 190, subclass 491 อาจจะแตกต่างจากการทำ skill assessment ของวีซ่าทำงานทำงานที่มีนายจ้างสปอนเซอร์; subclass 482, subclass 494, subclass 186 ENS, subclass 187 RSMS


จุดประสงค์ของ Skill Assessment ก็เพื่อเป็นการเช็คว่าวุฒิการศึกษาของคนที่ต้องการเข้ามาอยู่ในประเทศออสเตรเลียนั้นได้มาตรฐานของประเทศออสเตรเลียหรือเปล่า เพราะแต่ละประเทศระบบการเรียนการสอนจะไม่เหมือนกัน 

Skill Assessment ในแต่ละสาขาอาชีพที่อยู่ใน occupation list จะไม่เหมือนกัน แตกต่างกันไปตามสาขาอาชีพ และหน่วยงานที่ดูแล ดังนั้นจึงเป็นการสำคัญที่เราจะต้องรู้ด้วยว่า สาขาอาชีพอะไร หน่วยงานใหนรับผิดชอบในเรื่องของการทำ Skill Assessment และภาษาอังกฤษที่ใช้ ต้องสอบเป็น general หรือ academic

หรือบางสาขาอาชีพใช้ผลสอบภาษาอังกฤษในทำ Skill Assessment บางสาขาอาชีพไม่ต้องใช้

การสอบภาษาอังกฤษเพื่อที่จะคำนวณ point ของ Skilled Migrant; subclass 189, subclass 190 หรือ subclass 491 ปกติแล้วสอบแค่ general ก็พอ แต่การสอบภาษาอังกฤษเพื่อที่จะทำ Skill Assessment นั้น บางสาขาอาชีพก็ต้องสอบเป็น academic ดังนั้นเราต้องเช็คข้อมูลตรงนี้ก่อนว่า สรุปแล้วเราต้องสอบภาษาอังกฤษแบบใหนกันแน่ 

เนื่องด้วยสาขาอาชีพใน occupation list มีเยอะ เราก็เลยไม่สามารถเอาข้อมูลของแต่ละสาขามาอธิบายได้นะครับ

การทำ Skill Assessment ของ Skilled Migrant ก็คือการเอาวุฒิทางการศึกษา ใบ certificate อะไรต่างๆที่เราเรียนจบและวิชาที่เราลงทะเบียนเรียน (transcript) ส่งไปให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเช็คว่าวิชาที่เราเรียนได้มาตรฐานของการศึกษาของประเทศออสเตรเลียหรือเปล่า

การทำ Skill Assessment ของวีซ่าทำงานที่มีนายจ้างสปอนเซอร์ จะเน้นว่าเรามีประสบการณ์ในการทำงานจริงหรือเปล่า มีความสามารถในสายงานนั้นจริงมั้ย

สำหรับคนที่จบปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาที่ใกล้เคียงกัน เราก็เอาวุฒิของปริญญาตรีเท่านั้นในการทำ Skill Assessment ดังนั้นถ้าใครตอนนี้เรียนปริญญาโทอยู่ เราก็ไม่จำเป็นต้องรอให้เราจบปริญญาโทเพื่อที่จะทำ Skill Assessment เราสามารถเอาวุฒิปริญญาตรีของเราทำ Skill Assessment 

บางสาขาอาชีพนั้นก็ใช้เวลานานพอสมควร อย่างเช่นการทำ Skill Assessment ของสาขาอาชีพวิศวกรเป็นต้น เพราะต้องเขียน project (CDR) ประกอบการทำ Skill Assessment ด้วย

Skill Assessment เตรียมตัวกันตั้งแต่เนิ่น ๆ นะครับ

Copyright: ถ้าจะแชร์ให้แชร์จากต้นโพสต์เท่านั้น, ไม่อนุญาตให้ copy & paste, ไม่อนุญาตให้ screen capture.

RPL; Recognition of Prior Learning คืออะไร



หลายคนที่ต้องการทำวีซ่าทำงานที่มีนายจ้างสปอนเซอร์; subclass 482, subclass 494, subclass 186; ENS (Direct Entry) หรือ subclass 187; RSMS อาจจะมีประสบการณ์การทำงานครบ แต่วุฒิการศึกษาอาจจะเรียนมาไม่ตรงสาขาตามที่ทางอิมมิเกรชั่นกำหนดไว้

เราสามารถนำเอาประสบการณ์ทำงานของเราไปเทียบเท่ากับวุฒิการศึกษาต่าง ๆ ได้

Recognition of Prior Learning หรือ RPL คือการเอาประสบการณ์การทำงาน มาเทียบเท่ากับหน่วยกิต หรือวิชาที่เราเรียนที่ TAFE หรือ College ดังนั้นถ้าเราทำงานเป็น chef หรือทำงานร้านนวด เราก็สามารถเอาประสบการณ์การทำงานของเราไปเทียบเท่า Cert III, Cert IV หรือ Diploma ได้ 

การทำ RPL ก็ต้องทำกับ TAFE หรือ college นะครับ หลักการก็มีอยู่ว่า:

  • ก็ต้องมีประวัติการทำงาน (ต้องมีการลง tax มีการเสียภาษีที่ถูกต้อง) 
  • ถ่าย video clip เพื่อสาธิตว่าเรามีความสามารถในการทำงานได้จริงๆ 
  • logbook ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาว่าเราทำอะไมั่ง 
  • RPL ที่ทำกับ "J Migration Team" ไม่มีการบ้าน ไม่มี assignment เพราะเราเอาประสบการณ์มาเทียบเท่า ก็เหมือนกับ "กศน" ที่เมืองไทย


RPL เป็นใปประกาศที่สามารถใช้ได้ทั่วประเทศออสเตรเลียในการหางานหรือทำธุรกรรมกับกระทรวงอิมมิเกรชั่นได้ เพราะ RPL เองก็ได้รับการรับรองจากกระทรวงการศึกษา 

เราสามารถใช้ RPL ในการสมัครทำวีซ่าทำงานที่มีนายจ้างสปอนเซอร์; subclass 482, subclass 494, subclass 186 และ subclass 187


ยกตัวอย่าง RPL บางตัวนะครับ แต่ก็บอกได้เลยว่า จริงๆแล้ว RPL สามารถทำได้แทบทุกสาขาอาชีพ


Diploma of Remedial Massage
Diploma of Commercial Cookery
Certificate IV in Massage Therapy Practice
Certificate IV in Commercial Cookery
Certificate III in Solid Plastering
Certificate III in HairDressing

ดังนั้นหากใครเรียนมาไม่ตรงกับสาขาอาชีพงาน ยังไม่ต้องสิ้นหวังนะครับ ลองทำ RPL ดู เพราะ RPL สามารถทำได้ภายในระยะเวลา 8-9 weeks ซึ่งก็ถือว่าเร็วกว่าการที่เราจะต้องไปลงทะเบียนเรียนมาก ก็อยากให้ทุกคนลองเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายดูนะครับ ว่าอันใหนจะคุ้มมากกว่ากัน

บางคนก็ทำ RPL เพื่อขอขึ้นค่าแรงกับนายจ้างก็มี เพราะถือว่าเราได้วุฒิการศึกษาที่ตรงกับสายงานแล้ว รายได้เราก็ควรมากขึ้น ลูกค้าเราหลาย ๆ คนก็ทำแบบนั้น ก็ได้ค่าแรงที่เพิ่มขึ้น :)

Copyright: ถ้าจะแชร์ให้แชร์จากต้นโพสต์เท่านั้น, ไม่อนุญาตให้ copy & paste, ไม่อนุญาตให้ screen capture

Wednesday, April 5, 2023

วีซ่านักเรียน; onshore


blog นี้สำหรับคนที่อยู่ onshore แล้วนะครับ
ถ้าอยู่ในประเทศออสเตรเลียแล้ว จะมาเดี่ยวหรือมาเป็นคู่ P' J แนะนำให้ยื่นวีซ่าภายในประเทศออสเตรเลียนะครับ ถ้าผ่านก็ดี ถ้าไม่ผ่านมันยังสามารถอุทธรณ์ได้

แต่ถ้ายื่นเรื่องเข้าไปแล้ว แล้วถอน (อาจด้วยคำแนะนำของ student agent) แล้วออกไปยื่นนอกประเทศ แบบนี้ P' J ไม่แนะนำครับ เพราะยื่นนอกประเทศ ถ้าไม่ผ่าน คือมันอุทธรณ์ไม่ได้

แล้วยิ่งบางคนติด Bridging Visa E ออกไปด้วยแล้ว จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ โอกาสที่จะได้กลับมามีน้อยมาก ถึงมากที่สุด

"J Migration Team" เราไม่ใช่ student agent นะครับ
เรารับทำ student visa เฉพาะคนที่มี CoE มาแล้วเท่านั้น หรือบางคนก็เป็น case วีซ่าติดตามกัน เดือนหนึ่งเรารับไม่เยอะครับ เพราะไม่ใช่ focus ของบริษัทเรา และเรามีทีมงานที่ทำ student visa แค่คนเดียว (ทีมงานเป็นฝรั่ง) และก็ไม่คิดที่จะเพิ่มหรือขยายทีมของ student visa... เรามีความสุขกับการทำวีซ่าตัวอื่นมากกว่า :)

คำถามพวกถามมา-ตอบไปที่เกี่ยวกับวีซ่านักเรียน บางทีเราก็ตอบที่ facebook ส่วนตัวเรา @john j migration ไม่ได้เอามาลงที่ page

กราบขอบคุณทุกคนที่ติดต่อเข้ามา
เป็นกำลังใจให้เสมอ
ติดต่อเราทาง email นะครับ; jpp168@outlook.com

เราไม่ใช้ LINE หรือ facebook inbox แล้ว
(หลายทางเกิน)

Monday, April 3, 2023

Smart Move Australia


Smart Move Australia ไม่มีอะไรใหม่นะครับ

มันก็คือ Skilled Migrant; Subclass 189, Subclass 190, Subclass 491

ที่ focus ไปที่ สาขาอาชีพเหล่านี้:
- Health,
- Education,
- Infrastructure,
- ICT and Technology

ก็จะได้ priority ในการ process
ก็แค่นั้นเอง ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องตื่นเต้นนะครับ

สมัยก่อน ตอน Labour เป็น government มันก็เคยมีอะไรแบบนี้มาแล้ว

ของเก่าเอามาปัดฝุ่นใหม่หนะ

ส่วนใครที่อยู่ในสายอาชีพด้านบน ก็ยินดีด้วยครับ คุณได้ไปต่อ

ตัว P' J เองก็ได้ PR/Citizen มาจากสาย ICT and Technology ก็ไม่เคยลืมข้าวแดงแกงร้อนครับ

info เรื่อง Skill Migranted และการนับ point เขาเคยเขียนไปแล้ว อยู่ที่ blog

Skill Assessment: Chef (subclass 482, subclass 494, subclass 186, subclass 187)


การทำ Skill Assessment ในสาขาอาชีพของ Chef; subclass 482, subclass 494, subclass 186 และ subclass 187 

ซึ่งจะมี 2 stages:

Stage 1: จะเป็นการเช็ค Document หรือว่าเป็นการเช็คเอกสารก่อนนะครับว่า เรามีคุณสมบัติครบไหม มันมี 2 part ways แต่เราไม่ขอพูดเรื่อง part way ก็ล่ะกัน เอาง่าย ๆ สั้นๆ ว่า เรามีประสบการณ์ครบ 3 ปี Full time หรือเปล่า หรือว่า 6 ปี Part-time 

ประสบการณ์ที่ครบในที่นี่คือจะต้องมีจดหมายผ่านงานแล้วก็หลักฐานการจ่ายเงิน 2 อย่าง:  
- 2 อย่างนี้อาจจะเป็น bank statement ก็ได้ 
2 อย่างนี้อาจจะเป็น PAYG (Pay As You Go) หรือ Incomes Statement (download จาก ATO website) ก็ได้ 
- 2 อย่างนี้อาจจะเป็น payslip 

จะต้องมี 2 อย่างขึ้นไปนะครับ มีแค่ Pay slip อย่างเดียวไม่พอ ดังนั้นอาจจะมี Pay slip, Bank Statement หรือว่าหลักฐานการจ่ายภาษี อะไรประมาณนี้ ต้องมี 2 อย่างนะครับ อันนี้คือ stage แรก

Stage 2: จะเป็น Technical Interview 

Technical interview ก็คือสัมภาษณ์นะครับ ไม่ใช่สอบข้อเขียน คำว่า  "interview"  ก็คือการสัมภาษณ์ 

interview คือนั่งแล้วก็ถามมา-ตอบไป
และเขาให้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงครึ่งนะครับ 

ลูกค้าเราบางคนใช้เวลาแค่ 20 นาทีก็มี ก็ผ่าน 
บางคนใช้เวลา 45 นาทีก็มี คำถามจะมีประมาณ 45 ข้อ 

ถ้าเผื่อใครที่ทำงานในครัวจริง ๆ ไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของการทำ Skill Assessment เพราะว่ามันก็เหมือนกับ council ที่เขามาตรวจครัวทั่ว ๆ ไปนะครับ 

เขาก็จะถามในเรื่องของความสะอาด เรื่อง hygiene ในครัว เรื่อง workplace and safety อะไรก็ว่าไป พวก WH&S 

ถ้าเผื่อเราเป็น chef จริง ๆ เราจะต้องมีความรู้ในการทำอาหาร เราเป็น chef จริงไหม อะไร นั่น นี่ โน่น 

และเขาจะสัมภาษณ์เราตาม resume ที่เรามี
อย่างเช่นเราบอกว่า เราทำงานร้านนี้ ๆ อะไรประมาณนี้ 
เขาก็จะถามว่า "OK,  you ทำงานร้านนี้ you ทำอะไรบ้าง ไหนลองเล่ามาซิ"

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับคน interview ด้วย 

ดังนั้นคือเราไม่สามารถบอกได้ว่าคำถามจะออกมาเป็นอะไรยังไง แต่เขาก็จะมี set คำถามอยู่แหละ 

ถ้าเราทำงานในครัวจริง ๆ เราเป็นเชฟจริง ๆ เราไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวเลยครับ 

เขาจะถามในสิ่งที่คนเป็น chef ควรจะรู้อยู่แล้ว 

เขาให้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงครึ่ง ไม่ได้หมายความว่าgikต้องใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่งเต็ม 

ลูกค้าเราบางคน บางคนใช้เวลา 20 นาทีก็มีนะครับ 
บางคนใช้เวลา 45 นาทีก็มีทั้งนั้นนะครับ 

ไม่ต้องกลัว เราเป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ สำหรับใครที่จะทำ Skill Assessment สาขาอาชีพ chef กับ VETASSESS

Copyright: ถ้าจะแชร์ให้แชร์จากต้นโพสต์เท่านั้น, ไม่อนุญาตให้ copy & paste, ไม่อนุญาตให้ screen capture