Friday, May 26, 2017

วีซ่านักเรียนแบบติดตาม


ก็เป็นเรื่องปกติที่คนเราถือวีซ่านักเรียนทั้งคู่ แล้วเราเจอแฟนเรา 
รักกัน
คบกัน

และอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่อยากที่จะไปเรียนแล้ว อาจจะด้วยเหตุผลทางค่าเทอม

หรืออาจจะด้วยเหตุผลที่ต้องการทำงานแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เก็บเงินสร้างเนื้อสร้างตัวกัน

การขอวีซ่านักเรียนแบบติดตามนั้นทำได้ไม่อยากถ้า:

  • เรารักกันจริง
  • เราใส่ชื่อแฟนเราไปด้วยว่าเป็น immediate family member ตอนที่เราสมัครวีซ่านักเรียนครั้งล่าสุด (สำหรับคู่ที่คบกันอยู่ก่อนแล้ว)
  • เราไม่ใส่ relationship status ว่าเป็น single หรือ โสด (สำหรับคู่ที่คบกันอยู่ก่อนแล้ว)
  • แต่สำหรับคู่รัก ที่มาเจอกันทีหลัง ก็ไม่เป็นไร ถ้าหากยังไม่ได้ใส่ชื่อแฟนเราเข้าไปว่าเป็น immediate family member หรือใส่ relationship status เป็น single อะไรประมาณเนี๊ยะ เราก็สามารถกรอกฟอร์ม update สถานะอะไรต่างๆของเราได้ (ฟอร์ม 1022) แล้วก็สามารถทำเรื่องติดตามกันได้
แต่...

สำหรับคู่ที่รักกัน คบกันมานานแล้ว
แต่ตอนที่สมัครวีซ่านักเรียนมานั้น ไม่ได้ใส่ชื่อแฟนเราเข้าไปด้วย หรือใส่ relationship status ว่าเป็นโสด

อาจจะด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการ
หรืออาจจะเป็นเพราะเอเจนท์นักเรียนที่เมืองไทยบอกให้ทำ

อาจจะด้วยเหตุผลอะไร ยังไงก็ตามแต่
ถ้าเป็นแบบนั้น

ทั้งคู่ต้องสมัครวีซ่านักเรียนใหม่ แล้วใส่ชื่ออีกฝ่ายให้เรียบร้อย
คราวนี้ถ้าได้วีซ่า ก็จะได้วีซ่าด้วยกันทั้งคู่ มากันเป็น pack

ดังนั้น สำหรับคู่รักทั้งหลาย เราไม่แนะนำให้โกหก หรือให้ข้อมูลที่บิดเบือนนะครับ เราต้องให้ข้อมูลตามความเป็นจริง แล้วทุกอย่างจะง่าย

แต่...

สังคมปัจจุบัน มันก็มีพวกที่ไอเดียบรรเจิดไปในทางที่ผิดๆ
เห็นทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นธุรกิจ เป็นตัวเงินไปหมด

โดยเฉพาะสังคมในเมืองใหญ่ น้ำเน่ามันเยอะ

นั่นคือพวกจดทะเบียนให้เพื่อน
เธอมาติดตามฉันสิ นั่น นี่ โน่น

ok...แหละ มันทำได้
มันแก้ปัญหาได้ในระยะสั้น

แต่มันไม่ได้แก้ปัญหาได้ในระยะยาว

เพราะหากวันนี้เราทำเรื่องติดตามเพื่อนเรา อาจจะด้วยเหตุผลทางธุรกิจอะไรก็ตามแต่

ถึงวัน วันหนึ่งที่เราเจอคนรักจริงๆ รักกันจริงๆ
รักกันมากปานจะดูดดื่ม

คราวนี้อยากจะมาติดตามแฟนตัวจริงของตัวเอง

ปัญหากันก็ต้องเกิด เพราะอิมมิเกรชั่นเองก็จะมองว่า สรุปแล้วเธอรักใคร อะไร ยังไงกันแน่

แน่นอนแหละ คนเรามันเปลี่ยนคู่นอนกันได้ และก็หลายๆคนก็ยังอยู่ในช่วง "วัยเจริญพันธุ์" แต่เราก็ต้องควักหัวใจออกมา เอาออกมาพิสูจน์ มา proof กันถึงความรักแท้อีกแหละ 

เหมือน Partner Visa ยังไงยังงั้น

ซึ่งมันก็ทำให้เรื่องมันยากและวุ่นวายโดยใช่เหตุ

ดังนั้นเวลาทนายหรืออิมมิเกรชั่นเอเจนท์เรียกค่า professional service fee ตัวเลขมันก็ต้องสูงเป็นเงาตามตัว

ดังนั้นห้ามบ่น...

เลิกโทษคนอื่น หัดโทษตัวเองบ้าง ชีวิตจะได้ตั้งอยู่บนโลกของความเป็นจริง

แน่นอนหละ มันเป็นเรื่องปกติที่ case officer เขาจะปฏิเสธการให้วีซ่า ด้วยข้ออ้างเล็กๆน้อยๆว่า ดูผิวเผินแล้ว เหมือนใช้วีซ่านักเรียนเป็น tool เผื่อการอยู่ต่อไปเรื่อยๆ

ดูผิวเผินแล้วไม่ genuine 
อย่าลืมนะครับ ตั้งแต่ 1 July 2016 วีซ่านักเรียนจะมีการเข้มงวดกับ GTE (Genuine Temporary Entry) มาก

ทั้ง main applicant และคนติดตาม

ดังนั้นเราจะทำอะไรกันเล่นๆ เหลาะๆแหละๆ กันไม่ได้

ทำอะไรต้องคิดการไกลเอาไว้บ้างเล็กน้อย

ดังนั้นจึงไม่เป็นการแปลกที่ case officer จะ refuse วีซ่าเรา อย่าลืมว่าเขาก็ทำตามหน้าที่ของเขา มันเป็นนโยบายจากเบื้องบน

อย่าลืมนะครับว่า ค่าสมัครวีซ่านักเรียน (ณ วันที่เขียน) มันแค่ $550 เอง ดังนั้น case officer เขาจะดู case แค่ผิวเผิน เขาไม่มีเวลามาเจอะลึกว่า เออ คู่นี้รักกันจริงหรือเปล่า มันไม่เหมือน Partner Visa นะที่ค่าสมัครมัน $6,865 (ณ วันที่เขียน) ซึ่งทาง case officer ก็ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสารและข้อมูล ให้มันสมราคา 

ดังนั้นเราจ่ายค่าสมัครแค่ $550 ก็โปรดอย่าคาดหวังว่า case officer ต้องมานั่งตรวจเอกสารแบบเจาะลึก มันไม่สมกับราคา

อยากให้ทุกคนลองคิดถึงจุดนีักันนิดหนึง

ดังนั้นถ้า case ใหนดูแปลกๆ มันก็ไม่ผิดที่ทาง case officer จะ refuse เลยทันที

ส่วนคู่ใหนที่รักกันจริงกับแฟนคนใหม่ คนปัจจุบัน เราก็ต้องไปต่อสู้กันที่ AAT (อุทรณ์)

เราก็ต้องเอาเหตุผลอะไรต่างๆเข้าไปอ้างว่า คนนี้หนะ รักจริงไม่ได้อิงนิยาย เพราะการไปขึ้นศาลอุทรณ์ มันต้องมีการให้ปากคำ ดังนั้นการพูด การจา กริยาท่าทาง body language มันจะสื่อออกมาเอง

ดังนั้นสำหรับใครที่คิดว่าจะให้เพื่อนทำเรื่องติดตามให้
อยากจะให้คิดให้ดีๆ คิดให้นานๆ นะครับ

ก็แค่อยากจะบอกว่า

มันไม่คุ้ม
และเราก็ไม่แนะนำด้วย

ปัญหาที่ตามมา มันเยอะ มากกว่าที่เราคิด

No comments:

Post a Comment