Bridging Visa E ก็เป็นอีก Bridging Visa หนึ่งที่เราคิดว่าคนไทยน่าจะรู้กันไว้ ไม่ต้องไป worries เรื่อง Bridging Visa D หรือ Bridging Visa F เพราะโอกาสที่เราจะได้ใช้ Bridging Visa พวกนั้นมีน้อยมาก (D กับ F)
Bridging Visa E นั้นเป็น Bridging Visa อีก Bridging Visa ที่มีประโยชน์ต่อสถานะภาพของเรา เพราะจู่ๆเราจะไปขอ Bridging Visa E จากอิมมิเกรชั่นไม่ได้ Bridging Visa E มีไว้สำหรับคนที่เป็นผี หรือพวกวีซ่าขาดเท่านั้น ก็คือประมาณว่าแทนที่เราจะอยู่เป็นผี วีซ่าขาด ผิดกฏหมาย เราก็ทำเรื่องขอ Bridging Visa E ได้ อย่างน้อยก็จะได้มีวีซ่าถูกต้อง
ในกรณีที่ทางอิมมิเกรชั่นมีการเข้าไปจับคนที่ไม่มีวีซ่า คนที่อยู่แบบผิดกฏหมาย ปกติทางอิมมิเกรชั่นก็จะออก Bridging Visa E ให้ได้เลยทันที เราไม่ต้องไปขอที่อิมมิเกรชั่น เจ้าหน้าที่ที่ทำการจับเรา สามารถออก Bridging Visa E ได้เลยตอนนั้น (ถ้าเค๊ามีคอมพิวเตอร์นะ หรือไม่เค๊าก็ต้องโทรเข้ามาที่อิมมิเกรชั่น) แล้วก็เราจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน หรือเก็บข้าวของกลับประเทศ คืออย่างน้อย เราก็ถือวีซ่าอะไรสักอย่าง ไม่ได้เป็นผีแล้ว เพราะคนต่างด้าวทุกคนอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียต้องมีวีซ่าอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะถ้าไม่มีวีซ่า ก็ถือว่าเป็นผี หรืออยู่แบบผิดกฏหมาย
อย่างน้อยถ้าเจ้าหน้าที่ออก Bridging Visa E ให้เรา ณ ตอนนั้น อย่างน้อยก็ถือว่าเราถือวีซ่า อย่างใดอย่างหนึ่งละ ไม่ได้อยู่อย่างผิดกฏหมาย ไม่มีวีซ่า หรือวีซ่าขาด
และอีกอย่างก็คือ ถ้าเราได้ Bridging Visa E แล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องโดนจับไปที่ศูนย์กักกัน เพราะสมัยนี้เจ้าหน้าที่ไม่ค่อยจับคนเข้าไปที่ศูนย์กักกันแล้วหละ เพราะถ้าเราโดนจับไปที่ศูนย์กักกัน มันก็จะมีค่าใช้จ่ายมีเพิ่มเข้ามา ที่รัฐบาลของออสเตรเลียจะต้องออกจ่ายไปก่อน แล้วค่อยมาเก็บกับรัฐบาลไทยทีหลัง ซึ่งเสียทั้งเวลาและเป็นภาระของรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายเปล่าๆ
ข้อดีของการได้ Bridging Visa E ก็คืออย่างน้อยเวลาได้ Bridging Visa E เราก็ยังสามารถอยู่บ้านไม่ต้องโดนกักกัน ได้เก็บข้าวเก็บของ เตรียมตัวเดินทางกลับประเทศ ไม่ต้องรีบร้อนอะไรมากมาย
อีกกรณีหนึ่งที่เราจะได้ Bridging Visa E กันก็คือพวกที่ทำผิดวีซ่า condition แล้วโดนยกเลิกวีซ่า แต่เราก็ยังสามารถถือ Bridging Visa E เพื่ออยู่รอผลวีซ่าตัวใหม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น วีซ่านักเรียน ทำเรื่องวีซ่าแต่งงาน แล้วไม่อยากไปเรียน เราก็สามารถปล่อยให้โรงเรียนแจ้งอิมมิเกรชั่น แล้วยกเลิกวีซ่าเราไปเลย แล้วเราก็ทำเรื่องขอ Bridging Visa E เพื่อที่จะอยู่รอวีซ่าแต่งงานของเราได้ ไม่มีปัญหาอะไร ประหยัดตังค์ ไม่ต้องไปเรียนก็ได้
อีกกรณีหนึ่งที่เราสามารถทำได้ก็คือ ถ้าเราเป็นผี วีซ่าขาด ถ้าเราไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว เราอยากจะกลับเมืองไทยแล้ว เราก็สามารถทำได้ด้วยการไปทำเรื่องขอ Bridging Visa E ที่อิมมิเกรชั่นที่ใหนก็ได้ พอเราได้ Bridging Visa E เราก็สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ซื้อตั๋วกลับประเทศไทยได้เลย
คือถ้าเราเป็นผี หรือวีซ่าขาด ถ้าอยู่มาวันหนึ่งอยากจะกลับประเทศไทย ก็ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆแล้วไปซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วเดินดุ่มๆไปที่สนามบินนะครับ จริงๆแล้วก็ทำได้ แต่ก็จะกลายเป็นเรื่องฮูฮา เพราะเราไม่มีวีซ่า เดี๋ยวเจ้าหน้าที่อิมมิเกรชั่นก็ต้องมาสัมภาษณ์ นั่น นี่ โน่น ดีไม่ดีอาจจะไม่ทันขึ้นเครื่องก็ได้ วีธีที่ดีที่สุดก็คือไปขอ Bridging Visa E ก่อน แล้วค่อยไปซื้อตั๋วเครื่องบินกลับเมืองไทย แบบนั้นจะได้ไม่มีปัญหาที่สนามบิน จะได้เดินทางออกได้เลย เดินทางด้วยความราบรื่น
อีกกรณีหนึ่งที่เราสามารถขอ Bridging Visa E ได้ก็คือ ถ้าวีซ่าปัจจุบันเรามีปัญหา จะด้วยอะไรก็ตามแต่แล้วยื่นเรื่องอุทรณ์กับ MRT/AAT (เปลี่ยนชื่อเป็น AAT แล้วครับ) ไม่ทัน ปกติแล้ว case officer ก็จะไม่ใจร้ายเท่าไหร่ เราก็จขอ Bridging Visa E ได้ เพราะขอฟรี ทางเจ้าหน้าที่หรือ case officer จะออก Bridging Visa E ให้เราก็ต่อเมื่อ เรารู้ว่าเราจะยื่นวีซ่าตัวใหม่ภายใน 3-5 วัน และเราก็รู้ว่าวีซ่าเราจะผ่าน นี่แนะแหละครับปัญหาของกฏหมายอิมมิเกรชั่นที่นี่ เราไม่ใช่ case officer เราจะรู้ได้ไงว่าวีซ่าเราจะผ่าน นี่ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ทนายความ อิมมิเกรชั่นเอเจนย์ และนักการกฏหมายหลายๆคนได้แนะนำให้ทางอิมมิเกรชั่นแก้ไขกฏหมายตรงนี้ เพราะมันเป็นอะไรที่ไม่ชัดเจนมากเลย แต่รัฐบาลชุดใหนๆก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้สะเท่าไหร่ เราก็เลยปล่อยเลยตามเลย แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของเรา สรุปคือถ้าอิมมิเกรชั่นให้ Bridging Visa E เรามา เราก็รีบรับเลยละกัน ดีกว่าอยู่เป็นผี พอได้ Bridging Visa E เราก็ค่อยทำเรื่องขอวีซ่าตัวใหม่ หาทางขยับขยายกันต่อไป
โดยส่วนตัวแล้ว เราคิดว่า Bridging Visa E เป็น Bridging Visa อีกตัวหนึ่งที่ทำประโยชน์ได้หลายอย่างนะครับ จะคิดจะทำอะไรจะได้มีทางหนีที่ไล่ได้ ก็ลองไปศึกษากันดูนะครับ