Monday, September 14, 2015

หลักการเขียน personal statement ของวีซ่าแต่งงาน


Partner Visa หรือที่คนไทยเราเรียกว่า วีซ่าแต่งงาน หรือวีซ่า de facto ไม่ว่าจะเป็นแบบเพศเดียวกันหรือต่างเพศ เราก็ควรจะมีหลักในการเขียน personal statement ในการประกอบการขอวีซ่าด้วยนะครับ ไม่ใช่เขียนอะไรไปสุ่มสี่สุ่มห้า เขียนอะไรออกไปมั่วๆ

บางคนก็นิยมทำ Statutory Declaration หรือที่เราเรียกกันสั้นๆว่า Stat Dec ซึ่งก็เป็นการยืนยันข้อมูลใน Stat Dec ว่าทุกอย่างที่อยู่ใน Stat Dec เป็นความจริงทั้งหมด 

Statutory Declaration สำหรับการทำ Partner Visa ก็มี แต่มันก็จะเป็นฟอร์มและเป็นอะไรที่ตายตัวมากเกินไป ไม่ค่อย flexible เหมือน personal statement ที่เราเขียนขึ้นมาเองเลย

การใช้ Statutory Declaration เพื่อเป็นการประกอบการทำวีซ่าแต่งงาน เพื่อเป็นการยืนยันว่าความรักความสัมพันธ์นั้นเป็นความรักความสัมพันธ์ที่แท้จริง ไม่ได้จ้างแต่งเพื่อมาหลอกลวงอิมมิเกรชั่น เพื่อที่จะเอาวีซ่าเฉยๆ ซึ่งจริงๆแล้ว เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ Statutory Declaration ก็ได้ เพราะถ้าใช้ Statutory Declaration เดี๋ยวเราเซ็นถูกช่องมั่ง เซ็นผิดช่องมั่ง เพราะมีหลายช่องที่เราต้องเซ็นเอง และมีหลายช่องที่ต้องให้ JP; Justice of Peace เซ็น และก็มีอีกหลายช่องที่เราจะต้องมาเซ็นต่อหน้า JP เท่านั้น ซึ่งดูๆแล้วก็เป็นอะไรที่วุ่นวายเกินความจำเป็น

ปกติแล้ว J Migration Team จะไม่ใช้ Statutory Declaration เลย เราจะใช้ personal statement ของทั้งคนที่ยื่นทำเรื่องวีซ่าและก็คนที่เป็นสปอนเซอร์ ซึ่งจะเป็นอะไรที่ง่ายกว่า เป็นอะไรที่ flexible มากกว่า เราอยากเขียนอะไรเล่าเรื่องอะไรยาวๆเราก็สามารถทำได้ หรือบางคนอยากเอาเป็นสั้นๆห้วนๆว่า เออ เนี๊ยะเรารักกันนะ อะไรประมาณนี้เราก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน

แต่เรื่องของการเขียน personal statement เราก็ต้องมีหลักการในการเขียนด้วย เพราะถ้าหากเขียนอะไรมั่วๆไป วีซ่าก็อาจจะไม่ผ่านก็ได้

การเขียน personal statement เราก็แนะนำให้เขียนเป็น shot เป็น shot เป็นฉากๆ (scence) เหมือนในหนัง เดี๋ยวผมจะสรุปหลักการเขียน personal statement เป็นข้อๆ ดังต่อไปนี้นะครับ

  • เล่าเรื่องราวออกมาเป็นทีละฉาก เหมือนในหนัง ว่าเรา 2 คนเจอกันยังไง รักกันยังไง แล้วคิดยังไงถึงตัดสินใจแต่งงานกัน หรืออยู่กินกันเป็น de facto 
  • แต่ละวันเรา 2 คนดำเนินชีวิตคู่กันยังไง เราดำเนินชีวิตประจำวันยังไง ตื่นเช้ามากิจวัตรประจำวันของเรา 2 คนคืออะไร ไปทำงานยังไง สำหรับคนที่ไม่ทำงาน แต่ละวันเราทำอะไรกันมั่ง
  • ถ้าเราเคยทะเลาะอะไรกัน ก็แนะนำให้เขียนลงไปด้วยนะครับ เพราะนั่นมันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตคู่ทั่วๆไปที่บางทีเราก็อาจจะมีทะเลาะหรืองอนอะไรกันมั่ง หรือมีอะไรที่บางทีเราก็แบบว่าไม่มั่นใจว่าชีวิตคู่เราจะเป็นอะไรยังไง เราก็สามารถเขียนไปด้วยนะครับ ไม่ต้องกลัวว่าจะทำให้ case เราดูไม่ดี เพราะนั่นถือว่าเป็นชีวิตจริงของคนเราทั่วๆไป
  • ถ้าหากเรามีอุปสรรคอะไรในการใช้ชีวิตคู่ครั้งนี้ ก็แนะนำให้เขียนลงไปด้วยนะครับ ไม่ว่าอุปสรรคจะมาจากอะไรก็ตาม อาจจะเป็นเนื่องด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรม ความแตกต่างทางอายุ หรือความแตกต่างจากการยอมรับของคนในสังคมบางกลุ่ม หรือการยอมรับจากครอบครัวอีกฝ่าย เวลาเราเขียน personal statement เราก็ต้องเขียนไปด้วยว่า เรา 2 คนฝ่าฟันปัญหาอุปสรรคอะไรมาด้วยกัน ฟังดูมันก็ดูเหมือนเรากำลังเขียนนิยายน้ำเน่าอะไรสักอย่าง แต่จริงๆแล้วก็ไม่เชิงน้ำเน่านะครับ เพราะชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราจะเอาชีวิตเรามาเป็นบรรทัดฐานเปรียบเทียบกับคนอื่นไม่ได้
  • เสร็จแล้วเราก็ต้องเขียนไปด้วยว่า เราคิดว่าชีวิตคู่เราจะเป็นยังไง จะเดินทางชีวิตจะดำเนินชีวิตอะไรยังไงต่อไป อนาคตชีวิตคู่จะเป็นยังไง คาดเดาเอาไว้ว่าจะถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชรยังไง ตรงจุดนี้เราก็ต้องเขียนลงไปด้วยใน personal statement ของทั้ง 2 ฝ่าย
  • และ paragraph สุดท้ายก็ควรจะเป็นว่าเราวางแผนชีวิตคู่เราเอาไว้ยังไงมั่ง จะซื้อบ้านหลังใหม่ หรือจะเปิดธุรกิจอะไรเล็กๆทำด้วยกันอะไรก็ว่ากันไป ส่วนจะซื้อบ้านหลังใหม่จริงหรือไม่ หรือว่าจะเปิดธุรกิจอะไรเล็กๆหรือเปล่านั้นก็ไม่เป็นไร คือเราแค่เขียนไปเฉยๆ จะเปิดจริงหรือไม่จริงเราไม่สนใจ เพราะเราถือว่าเป็นเรื่องของอนาคตซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงกันได้ แต่ที่แน่ๆก็คือมันเป็นการโชว์ว่าเรามีการวางแผนกับชีวิตเรานะ เราต้องการให้ชีวิตคู่เราเป็นแบบนี้ๆนะ อะไรประมาณนี้ ซึ่งมันก็ทำให้คนอ่าน อ่านแล้วเห็นภาพพจน์ที่ชัดเจน เหมือนกับว่าเรามีการวางแผนชีวิตที่ชัดเจน ไม่ได้อยู่ไปวันๆแบบพวกชีวิตไร้จุดหมาย
  • ปกติแล้ว เราก็แนะนำให้เขียน personal statement ประมาณ 2 หน้านะครับ 2 หน้าเนี๊ยะกำลังพอดี ไม่สั้นเกินไป ไม่ยาวเกินไป ปกติทุกๆ case ที่เราทำมา เราก็จะทำกันประมาณ 2 หน้ากันทั้งนั้น 
เนื้อหาของ personal statement ต้องเป็นอะไรที่ clear และชัดเจน เพราะเราเขียนมาจากชีวิตของเรา ชีวิตคู่ของเรา เราต้องเลือกใช้คำและภาษาแบบพื้นๆ แบบธรรมดา ไม่ต้องหวูหวามากเพราะมันไม่ใช่นิยาย เอาแบบว่า case officer อ่านแล้วรู้เรื่องก็เป็นพอ

เนื้อหาของ personal statement ต้องชัดเจน ชัดเจนแบบที่ว่าคนอ่านต้องอ่านแล้วมองเห็นภาพทันทีว่าชีวิตคู่เราเป็นอะไรยังไง เรื่องราวมันต้องแบบมาเป็นฉากๆ เป็นตอนๆ (ถึงแม้ไม่ใช่นิยายก็เถอะ)

นี่ก็เป็นหลักการเขียน personal statement ที่เราแนะนำลูกค้าเราทุกคนนะครับ ซึ่งลูกค้าคนไทยเราก็ให้เขียนมาเป็นภาษาไทย แล้วทาง J Migration Team จะจัดการแปลเป็นภาษาอังกฤษให้เอง และก็อาจจะมีการดัดแปลงและขัดเกลาเรื่องราวอะไรต่างๆบ้างเล็กน้อยเพื่อให้ personal statement ออกมาแล้วดูดี ซึ่งหลักการนี้เราก็ใช้กับ case ของวีซ่าแต่งงาน ทุกๆ case และที่ผ่านมาก็ผ่านและได้ PR กันทุก case นะครับ

No comments:

Post a Comment