Saturday, November 26, 2022

โยกย้าย; พลังแห่งความรักของคุณพ่อคุณแม่


ก็แค่อยากจะบอกเล่าเก้าสิบ

ใครที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ เหตุการณ์นี้อาจจะบีบใจบ้างเล็กน้อย แต่ at the end มันทำให้เราเห็นว่า ความเป็นพ่อเป็นแม่ มันชนะทุกสิ่งอย่างจริง ๆ เราขอเป็นกำลังใจให้และจะก้าวเดินไปกับครอบครัวนี้ด้วยกัน

- เหตุการณ์นี้เป็น 1 เหตุการณ์ที่ครอบครัวลูกค้าเราเจอ


- 1 เหตุการณ์ไม่ได้เป็นการเหมารวมว่าประเทศไหนเป็นอะไร ยังไง เวลาอ่าน โปรดเปิดใจ เปิดกว้าง "คิด วิเคราะห์ และแยกแยะ" ก่อนที่จะแสดงออกความคิดเห็นอะไร


- บางที "รู้ เพื่อรู้" ก็เป็นทางออกที่ดีที่สุด ไม่ต้องแสดงออกความคิดเห็น ไม่ต้อง comment อะไร


- บางคนบอกว่า ทำไม content บาง content ดูขัด ๆ กับชื่อ page... hmmm.... ก็แค่อยากจะเสนออะไรในอีกหลาย ๆ ด้านก็แค่นั้นเอง เหรียญมี 3 ด้าน โปรดวิเคราะห์และแยกแยะ แต่สุดท้ายและท้ายที่สุดก็คือ "P' J สะดวกแบบนี้"


- ปัญญาชนไม่ไล่ใครออกจากที่ไหน ใครใคร่อยู่อยู่ ใครใคร่ไป มันเป็นสิทธิ์ของทุก ๆ คนที่เลือกที่จะอยู่หรือเลือกที่จะไป โลกนี้กว้างใหญ่นัก เราทุกคนล้วนแล้วแต่เป็น "Global Citizen" อยู่ที่ไหนก็ได้ ทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องยึดติดว่าต้องประเทศอะไรหรือที่ไหน ทุก ๆ ที่เหมาะกับทุก ๆ คนเสมอ หากคิดว่าที่ ๆ เราอยู่ทุกวันนี้ไม่มีความสุข เราก็ย้าย ก็แค่นั้นเอง ส่วนคุณสมบัติในการโยกย้ายของเราจะครบหรือเปล่านั้น มันเป็นอะไรที่ต้องศึกษาหาความรู้กัน เราเคยเรื่องนี้ไปเยอะและบ่อยมากแล้ว


- หลาย ๆ ประเทศห่างไกล ไม่ใช่เชียงใหม่-กรุงเทพที่ซื้อตั๋วแล้วบินได้เลย โปรดศึกษาและหาข้อมูลก่อนเสมอ


ถ้าพร้อมก็อ่านกันได้เลยครับ
นี่แค่ 1 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องลูกค้าของเรา ไม่ได้เป็นการเหมารวม โปรดวิเคราะห์และแยกแยะ ก่อนเอามาแชร์เราได้ขออนุญาตน้องแล้ว :)
.
.
.


ผมจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือน เมษายน ปี 2017 แต่ไม่สามารถจำวันที่แน่นอนได้ เนื่องจากเกิดเรื่องมาเป็นเวลา 5 ปีกว่าแล้ว ในวันเกิดเรื่องช่วงบ่ายหลังจากผมและภรรยาพักเที่ยงจากการทำงาน ได้กลับมาที่บ้านพักและหลังจากนั้น ลูกชายทั้ง 2 คน คนโตอายุ 11 ปี และ คนเล็กอายุ 6 ปี ในขณะนั้น ได้ขอออกไปเล่นสกู๊ตเตอร์ที่พาร์คใกล้บ้าน ผมกับภรรยาก็อนุญาตให้ไปเล่น เพราะตอนนั้นเป็นเวลาพักของผมและภรรยา หลังจากนั้นผ่านไปเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งผมและภรรยาจะต้องเตรียมตัวกลับไปทำงาน จึงได้ออกมายืนรอลูก ๆ อยู่ที่หน้าบ้าน จนเวลาผ่านไปอีกราว 20 นาที จึงรู้สึกร้อนใจเลยตกลงกันว่า เดินออกไปตามลูก ๆ กลับบ้านดีกว่า จึงเดินออกมาได้สักพักก็เห็นลูกชายคนเล็ก ขี่สกู๊ตเตอร์กลับมาและบอกว่าลูกชายคนโตถูกแกล้ง ผมกับภรรยาเลยเดินตามไปดู ก็เห็นมีวัยรุ่นทั้งผู้ชายและผู้หญิง อยู่รวมกันราว 10 คน คุยกันอย่างสนุกหัวเราะเฮฮา และบนโต๊ะพวกเค้าได้เอาสกู๊ตเตอร์ของลูกผมตั้งไว้บนโต๊ะ ถัดจากวัยรุ่นไปประมาณ 10 เมตร ผมเห็นลูกชายผมยืนร้องไห้อยู่ จึงได้เดินเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกชายได้บอกว่าเค้ายืมสกู๊ตเตอร์หนูไปแต่ไม่ยอมคืน ผมจึงถามลูกว่าแล้วทำไมหนูไม่กลับบ้าน ลูกได้พูดว่าถ้ากลับก็กลัวเค้าจะเอาสกู๊ตเตอร์ไปเลย เลยต้องยืนเฝ้า ซึ่งตอนนั้นผมยอมรับว่าผมเกิดการโมโห เพราะผมและครอบครัวมาทำงานเพื่อส่งลูกเรียนเพื่ออนาคตลูก และครอบครัวผมก็จ่ายภาษีถูกต้องตลอดการใช้ชีวิตที่ออสเตรเลีย ทำให้ผมรู้สึกว่าไม่แฟร์ที่มาแกล้งคนต่างชาติอย่างครอบครัวผม และถ้าคนที่มีลูกและเจอเรื่องราวแบบผมก็คงจะทนไม่ไหวเหมือนกัน ที่มาแกล้งลูกเราและเค้าก็ยังเด็ก ผมและภรรยาจึงเดินไปเอาสกู๊ตเตอร์คืนและได้มีการต่อว่ากัน ซึ่งวัยรุ่นพวกนั้นก็ได้เหยียดหยามครอบครัวผม ทั้งวัยรุ่นผู้หญิงและผู้ชาย ได้ด่าว่าเป็นเอเชีย เป็นต่างชาติ กลับบ้านเกิดไปเลย ผมจึงได้มีการต่อว่ากันและเริ่มลงมือต่อสู้กัน ซึ่งทางผมสู้ไม่ได้เพราะทางเค้าได้รุมทำร้ายผม และเอาจักรยานเขวี้ยงใส่ผมจนแขนผมมีแผล และเลือดออก ผมจึงได้ไปเอาไม้มาสู้กลับพวกเค้า จนภรรยาผมและเพื่อนร่วมงานมาห้ามให้หยุดและแยกย้ายกัน แต่ทางพวกวัยรุ่นได้พาพ่อเค้ามาถือไม้จะมาตีผมที่บ้าน เพื่อนร่วมงานในขณะนั้นที่เป็นคนออสเตรเลีย จึงได้มาคุยกับทางพ่อเค้าว่าลูกคุณได้มาแกล้งลูกของเพื่อนร่วมงานฉัน และได้มีการเอาสกู๊ตเตอร์ของลูกเค้าไป ทำให้ทางพ่อเค้าจึงยอมกลับ


และหลังจากนั้นผมกับภรรยาก็ได้มีการปรึกษาเจ้าของร้านซึ่งเป็นเจ้านายในขณะนั้น ว่าเราต้องการแจ้งความ แต่ทางเจ้าของร้านซึ่งเป็นคนออสเตรเลีย ก็ได้พูดกับทางครอบครัวผมว่า อย่าไปแจ้ง เพราะผมเป็นต่างชาติไม่อยากให้มีปัญหากับคนพื้นที่ ซึ่งสำหรับผมมันไม่แฟร์ เพราะก่อนหน้าที่จะมีเรื่องนี้ผมเคยโดนวัยรุ่น 2 คน มาดักรอผมตอนไปรับลูกกลับจากโรงเรียน มารอด่าผม เหยียดเชื้อชาติผมและลูกผม ต่อหน้าเด็กนักเรียนคนอื่น และผู้ปกครองคนอื่น ซึ่งผมและครอบครัวรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก เหมือนครอบครัวผมเป็นตัวประหลาด แต่ครั้งนั้นผมไปแจ้งความกับทางตำรวจ เพราะพอเกิดเรื่องผมได้เดินทางไปแจ้งความเลยไม่ได้ปรึกษาเจ้าของร้านที่ทำงานอยู่ แต่ครั้งนี้ลูกผมโดนแกล้ง โดนขโมยสกู๊ตเตอร์ แต่กับไม่ให้ทางผมไปแจ้งความ


หลังจากนั้น 1 เดือนผมและครอบครัวจึงได้ตัดสินใจกลับไทยถาวร เพราะว่าครอบครัวผม ไม่อยากทนการกดดันอีก เพราะหลังจากเกิดเรื่อง จะมีวัยรุ่นมาวนเวียนที่บ้านและที่ทำงาน เวลาไปส่งลูกที่โรงเรียน ก็จะมีวัยรุ่นมองและหัวเราะเยาะเย้ยครอบครัวผมตลอด ทางครอบครัวผมจึงได้ตัดสินใจว่าเรากลับบ้านเราดีกว่า ซึ่งตอนนั้นทางผมไม่ทราบว่ามีการแจ้งความจนเป็นคดี และไม่มีเหตุผลที่จะหลบหนีหรือว่าจะไม่ไปฟังตามที่ตำรวจ หรือ ศาลเรียกมา เพราะหลังจากนั้น 2 ปีผมและครอบครัวยังยื่นของวีซ่ากลับมา และก็ได้วีซ่ามาปกติ 

ผมและครอบครัว เป็นครอบครัวที่มาทำงานและจ่ายภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อหวังว่าจะได้ให้ลูกมีการศึกษาและมีอนาคตที่ดีในประเทศออสเตรเลีย เราไม่เคยคิดจะหาเรื่องใคร หรืออยากมีปัญหากับใคร 

ผมก็เลือกเดินทางมาเรียนต่อที่ประเทศออสเตรเลีย เพราะอยากได้ความรู้และอนาคตที่ดี ซึ่งผมก็เรียนจบการโรงแรมที่ออสเตรเลีย ผมมีใบเซอร์ทุกใบและจบทุกใบที่มาศึกษาที่ประเทศออสเตรเลีย ตอนนี้ผมมีครอบครัว มีภรรยา มีลูก ผมเพียงแค่ต้องการสิ่งดีๆและอยาคตที่ดีต่อลูกและครอบครัวผมแค่นั้นเองครับ
.
.
.


- บุคคลที่มี MARN ตามกฎหมายเท่านั้นถึงจะสามารถให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายอิมมิเกรชั่นของประเทศออสเตรเลียได้


- YouTubers ที่อยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย หลาย ๆ คนไม่มี MARN แล้วออกมาพูดเรื่องกฎหมายอิมมิเกรชั่นแบบมั่ว ๆ เดี๋ยวกระบวนการเก็บกวาดที่คงจะเริ่มขึ้นเร็ว ๆ นี้ (แชร์ประสบการณ์การขอวีซ่าของตัวเองได้ แต่พูดถึงกฎหมายอิมมิเกรชั่นนอกเหนือจากนั้น เดี๋ยว MARA; Migration Agents Registration Authority จะมาเคาะประตูหน้าบ้านเร็ว ๆ นี้)

ที่เขียนมาทั้งหมดก็แค่อยากจะบอกว่า "พลังแห่งความรักของคุณพ่อคุณแม่นั้นทรงพลังนัก"

กราบขอบคุณที่เลือกใช้บริการของเรา
กราบขอบคุณที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ "ครอบครัว J" เราจะเดินเคียงข้างกันไปครับ จนถึงเส้นชัย

Copyright: ถ้าจะแชร์ให้แชร์จากต้นโพสต์เท่านั้น, ไม่อนุญาตให้ copy & paste, ไม่อนุญาตให้ scree capture

No comments:

Post a Comment