Saturday, June 16, 2018

ขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติ


ขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติ

ก็มีบ้างเป็นบางทีที่เราได้ทำให้ case ให้ลูกค้าบางคนที่เขาเป็นลูกค้าเก่าเมื่อ 9-10 ปีที่แล้ว

มันทำให้เราแอบนึกถึงช่วงแรก ๆ ปีแรก ๆ ที่เราทำ "J Migration Team" 

เมื่อ 10 ปีที่แล้วที่เราเริ่มต้นทำ "J Migration Team", ความคิดของเราแค่คิดว่า ทำไมคนที่ Wollongong จะต้องเข้าไปหาทนายความหรืออิมมิเกรชั่นเอเจนท์คนไทยที่ Sydney ด้วยหละ ทำไมเราไม่มีของเราเองที่ Wollongong

และตอนนั้นเราก็มีความจำเป็นที่จะต้องทำเรื่องสปอนเซอร์พนักงานด้วยสิ วีซ่า subclass 457 ซึ่งเราก็ให้บริษัทของคนไทยที่หนึ่งที่ Sydney เป็นคนดูแลให้

เราก็คิดในใจว่า ไม่เป็นนะ ตอนทำวีซ่า subclass 457 เราใช้บริษัทที่ Sydney ดูแลให้ไปก่อน เดี๋ยวตอนทำ PR, subclass 186 เราจะทำให้เอง

คิดได้แบบนั้นเราก็ลงทะเบียนเรียนกฎหมายอิมมิเกรชั่นที่ ANU; The Australian National University เลยทันที ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเราก็เรียนอักษรญี่ปุ่นอยู่แล้วที่ UOW; University of Wollongong

สรุปช่วงนั้นก็ทำธุรกิจไปด้วย
เรียนควบ 2 มหาวิทยาลัยไปด้วย แต่โชคดีหน่อยคืออักษรญี่ปุ่นที่ UOW เรียนเทอมสุดท้ายพอดี

ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย 2 มหาวิทยาลัย
เราทำได้จ๊ะ และทำได้ดีด้วย
ก็แค่ต้องนอนตี 2 ตื่น 7 โมงเช้า ก็แค่นั้นเอง
นอนวันละ 5 ชั่วโมง และดื่มกาแฟวันละ 5 แก้ว สมัยนั้น

ถึงแม้ว่าจะทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย แต่ผลการเรียนก็ออกมาดี
อักษรญี่ปุ่นตัวสุดท้าย ตอนที่เขียน essay เข้าไปก็ได้ 95% นะ
ได้ High Distinction สำหรับ essay ตัวนั้น ก็ได้ top in class สำหรับ essay ตัวนั้น 

และอีกวิชาหนึ่งที่ต้องอ่านนิยายของญี่ปุ่น (แปลเป็นภาษาอังกฤษ) แล้วต้อง analyse วัฒนธรรมของญี่ปุ่นจากนิยายที่อ่าน เราเป็นนักเรียนในห้องคนเดียวที่ present แบบไม่ถือโพยอะไรเลย ดู powerpoint ตัวเองทีทำมาแล้วก็ present เลย เพื่อนร่วมชั้นทุกคนตื่นเต้นที่จะต้องพูดหน้าห้อง เราไม่ เราก็พูดเยอะของเราอยู่แล้ว ถ้าอ่านหนังสือมาดี เตรียมตัวมาดี จะต้องไปกลัวอะไร เช่นเดียวกัน เราได้คะแนน presentation เยอะที่สุดใน class, top in class 23/25 ยังจำคะแนนนี้ได้ไม่เคยลืม

ใครบอกหัวดำเรียนไม่เก่งจ๊ะ
ในห้องมีหัวดำแค่ 2 คนจ๊ะ เป็นคนไทยด้วยกันทั้งคู่ นอกนั้นหัวทองหมด
สรุป ใครชนะเลิศ??

ส่วนกฎหมายอิมมิเกรชั่นที่ ANU บางวิชาก็ได้ HD นะ High Distinction เช่นเดียวกัน มี essay ตัวสุดท้ายที่เราต้องเขียน จำไม่ได้ว่ากี่คำ น่าจะ 4,500 - 5,000 words เป็นการ analyse ว่าถ้าจะเปิดบริษัทหรือสำนักงานเกี่ยวกับอิมมิเกรชั่นจะต้องทำอะไร ยังไงบ้าง เนื่องด้วยเราก็ทำธุรกิจของเราอยู่แล้วตอนนั้น เราก็เขียนอะไรของเราไปเรื่อย เขียนจากมุมมองของนักธุรกิจด้วย และเราก็มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อน ๆ ใน class ผ่านพวก online forum ปรากฏว่าความคิดเห็นของเราแตกต่างจากทุก ๆ คนใน class แต่เฮ้ย คะแนนออกมาได้ High Distinction นะ

ใครบอกว่าหัวดำไม่มีศักยภาพ
เพียงแค่หัวทองเป็นเจ้าของภาษา พูดได้คล่อง แต่ถ้าขี้เกียจอ่านหนังสือ มันก็เท่านั้น เราเจอมาหมดแล้วเพื่อนร่วมห้องเรียนแบบนั้น

แต่เอ๊ะ เราเขียนมาถึงเรื่องนี้ได้ยังไง

กลับเข้าเรื่องต่อ
หลังจากที่เรียนจบ
ทำเรื่องของ MARN เราก็ได้ขอ PR; subclass 186 ให้กับพนักงานเราจริง ๆ สมัยก่อนไม่ต้องรอนานเหมือนสมัยนี้ พนักงานเราได้ PR ภายใน 2 weeks ทำฟรี

หรือบางทีก็ต่อวีซ่านักเรียนให้กับพนักงาน 1 วันวีซ่าก็ผ่าน แตกต่างกันกับสมัยนี้มาก ทำฟรี

หรือบางทีก็ช่วยทำ Partner Visa ให้กับพนักงาน ทำฟรี

ทุกคนที่เป็นพนักงานของเราตอนนั้นเราทำให้ฟรีหมดทุกคน ตอนนี้ก็ได้ดิบได้ดีกันไปหมดแล้ว หลาย ๆ คนตอนนี้ก็ทำงานเป็นส่วนหนึ่งของ J Migration Team ก็มี

จากวันนั้น มาถึงวันนี้ 10 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยลืมร้านอาหารไทยต่าง ๆ แถว ๆ Wollongong และร้านนวดไทยที่ Wollongong แต่ก่อนมีแค่ร้านเดียวจ๊ะ เพราะพวกเขาคือลูกค้ากลุ่มแรก ๆ ของเราเลย

แต่ก่อนเราก็ต้องทำ brochure นะ
แล้วก็ส่งไปตามที่อยู่ของร้านอาหารไทยในระแวก Wollongong

หลาย ๆ คนก็เข้ามาใช้บริการแบบกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะเราเป็นเด็กหน้าใหม่ มือใหม่ในวงการนี้

เราก็ลงโฆษณาที่หนังสือพิพม์ Thai-Oz ด้วย เราลงโฆษณาแค่ 1 ปีแรก ปี 2008 หลังจากนั้นลูกค้าทุกคนเป็นพวกปากต่อปากกันทั้งนั้น

หลาย ๆ คนอาจจะมาไม่ทันยุคของหนังสือพิมพ์ Thai-Oz ก็ได้ ตอนนี้หนังสือพิมพ์ Thai-Oz ไม่มีแล้วจ๊ะ

จากวันนั้น มาถึงวันนี้ 10 ปี
หากเราไม่มีพวกเขาเหล่านั้น เราก็คงไม่มีวันนี้เหมือนกัน เราไม่เคยลืม
เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ลูกค้าบางคน ที่เป็นลูกค้าเก่าแก่ของเราตั้งแต่เมื่อ 9-10 ปีที่แล้ว ตอนนี้ก็กลับมาใช้บริการเราอีก มาใช้บริการของวีซ่า subclass ตัวอื่น

จากวันนั้น ถึงวันนี้ เราเดินทางมาไกลแสนไกล
จากแต่ก่อนที่เวลาไปงานสัมนากฎหมายอิมมิเกรชั่นที่ Sydney ก็จะถูกคุณป้าเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ของคนไทยที่ Sydney บอกว่า "จะดีเหรอ จะไหวเหรอ จะคุ้มค่า MARN ที่จะต้องจ่ายทุกปีหรือเปล่า"

ค่า MARN ที่จะต้องจ่ายทุกปีก็ประมาณ  $5,000 นะ บวกค่าประกัน ค่า online subscription ของอิมมิเกรชั่นแล้ว นั่น นี่ โน่น

ดูเอาเถอะ ไม่ต้องที่ไหนอื่นไกลเลยจ๊ะ คนไทยเรานี่แหละที่ชอบดูถูกกัน
10 ปีผ่านไป เราก็ยังจำวันนั้นได้ ไม่มีลืม วันที่เขาพูดกับเรา ทำเราสะอึก แล้วเดินจากไป เราทำอะไรมากไม่ได้ เราเป็นผู้น้อย เขาเป็นผู้ใหญ่ ก็แค่เจอกันงานไหน ก็ไม่ต้องยกมือไหว้ ก็แค่นั้นเอง 

10 ปีที่แล้ว ป้าไปงานสัมนาแบบไม่แต่งหน้า หน้าซีด ๆ หน้าจืด ๆ ยังไง 
9 ปีผ่านไป ป้าก็ยังเหมือนเดิม ไปงานสัมนาแบบไม่แต่งหน้า หน้าซีด ๆ หน้าจืด ๆ
เราเจอกันในงานสัมนากฎหมายอิมมิเกรชั่นเมื่อปีที่แล้ว 2017

จากวันที่เคยโดนคุณป้าเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ของคนไทยใน Sydney พูดจากดูถูกเมื่อ 10 ปีก่อน

ตอนนี้เรา happy กับสิ่งที่เรามีอยู่
เรามีลูกค้ามาจากทุกรัฐของประเทศออสเตรเลีย

ลูกค้าเคยนั่งรถไฟจาก Melbourne มา Wollongong เพื่อมาหาเรา ก็เคยมีมาแล้ว

ลูกค้าขับรถมาจาก VIC มาหาเราที่ Canberra office ก็เคยมาแล้ว
ลูกค้าบินมาจาก Melbourne มาหาเราที่ Wollongong office ก็เคยมาแล้ว
ลูกค้าบินมาจาก Darwin มาหาเราที่ Wollongong office ก็เคยมาแล้ว

ตอนนี้เราก็บินไปทำงานต่างรัฐ บินเช้าเย็นกลับ อย่างที่เห็น เราก็ทำมาแล้ว

แต่ก็อย่ามองเห็นเราเฉพาะตอนที่เราอยู่บนที่สูง
อยากจะให้ทุกคนเห็นอีกหนึ่งมุมมองด้วย
อย่างเช่นการเดินทางจาก Wollongong ไป Melbourne หรือ Brisbane แบบบินเช้าเย็นกลับ เราไม่ได้สบายเลยนะครับ เพราะนั่นหมายถึงการที่เราจะต้องตื่นตี 2 (2am) เพื่อมาอาบน้ำ แต่งตัว ขับรถไปสนามบิน และต้องบินเที่ยวเช้าที่สุด เพื่อที่จะได้ทันเจอลูกค้า 9am ที่ Melbourne เหนื่อยนะกับการเดินทางแบบนี้ 

แต่เราก็ทำ ทำเพื่อลูกค้า เพราะหลาย ๆ คนต้องการทำ face-to-face consultation หลาย ๆ คน feel more comfortable ที่ได้เจอตัวเป็น ได้คุยกันตัวต่อตัว

แต่จะอะไร ยังไงเสีย เราก็รู้สึกขอบคุณลูกค้าทุกคน
J Migration Team เราเริ่มต้นแบบ humble
แบบไม่มีอะไรเลย
แบบเด็กหน้าใหม่ แต่เป็นคนกล้าคิด กล้าทำ และก็ทำทันที ก็แค่นั้นเอง

เราก็ขอเป็นกำลังใจให้กับคนรุ่นใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน
หากคิดที่จะทำอะไร ให้คิดแล้วทำทันที อย่าคิดนาน

ส่วนใครที่เขาดูถูก ดูแคลนเรา ก็ไม่ต้องไปใส่ใจ
ไม่ต้องไปสูงสิง

หมดบุญของเขา หมดกรรมของเรา

ให้เราเอาคำพูดเหล่านั้นมาเป็นแรงพลักดัน และเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตของเรา

คนไทยทำได้
คนไทยเรามีศักยภาพ
คนไทยอยู่ที่ไหนก็ประสบความสำเร็จได้ ถ้าไม่ขี้เกียจ

No comments:

Post a Comment