Wednesday, November 20, 2019

วีซ่าขาด IELTS 7


ชีวิตคนเรา บางทีก็เหมือนเช่นดั่งละคร

หลาย ๆ คนมีความคิดความอ่านที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่คุณวุฒิและวัยวุฒิของแต่ละคน

ทุกคนมีต้นทุนชีวิต พื้นฐานการเลี้ยงดูที่แตกต่าง

หลาย ๆ คนขอวีซ่าท่องเที่ยวมา แล้วตั้งใจที่จะมาหนีวีซ่าตั้งแต่ก่อนมาแล้ว แบบนั้นเราไม่แนะนำ ชีวิตของคนที่หนีวีซ่า ที่ต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ผิดกฎหมาย มันไม่สนุกหรอก หากใครตอนนี้อยู่ที่เมืองไทย ก็ให้ลองคิดทบทวนใหม่

หลาย ๆ คนที่วีซ่าขาดที่ประเทศออสเตรเลีย ก็อาจจะเป็นเพราะโดนหลอกมา อาจจะเป็นเพราะความไม่รู้ และมันก็มีพวกนายหน้าก็ไปกว้านหลอกทำวีซ่าท่องเที่ยวให้ทั้งหมู่บ้าน ก็มี หลายคนหมดเงินไปหลายแสนบาท พอมาก็เลยต้องมาหลบ ๆ ซ่อน ๆ ทำงานเพื่อใช้หนี้สินที่ยืมมา ตอนทำวีซ่า

ตลอดระยะเวลาที่เราทำงานมา 10-11 ปี เราเห็นอะไรหลาย ๆ อย่างมาเยอะ

ทุกคนมีทางเลือกที่แตกต่าง
เลือกแบบไหน ได้แบบนั้น

บางกลุ่มก็อาจจะเป็นเด็กนักเรียน ที่มาอยู่ตามเมืองใหญ่แล้วเน้นทำงานมากกว่าเรียน เมื่อรายได้ที่มันยั่วยวนใจ เมื่อก้อนเงินก้อนรายได้มันมากกว่าการทำงานที่เมืองไทย หลาย ๆ คนเลือกเส้นทางของการทำงานเก็บตังค์ แทนที่จะไปเรียนเหมือนตามที่ขอวีซ่ามา

หลาย ๆ คนอาจจะหลงไหลในกลิ่นไอของเมืองนอก กลิ่นไอของเงิน AUD

อยู่ที่นี่ถ้าไม่ขี้เกียจ ยังไงก็ไม่อดตาย ค่าแรงที่นี่ ก็ดีกว่าที่เมืองไทย หลาย ๆ คนเลือกที่จะอยู่ต่อ อยู่เกินวีซ่าหลังจากที่วีซ่าหมด

ไม่ว่าใครจะเลือกแบบไหน อะไร ยังไงก็ตามแต่
ทุกสิ่งอย่างในชีวิตไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ทุกสิ่งอย่างในชีวิตมันมีเหตุและผลของมัน
เพราะฉะนั้น มันถึงเป็นเช่นฉะนี้

หากเราเลือกที่จะเดินทางเส้นไหน เราก็ต้องยอมรับผลที่มันจะตามมาให้ได้

ทุกสิ่งอย่างที่เรากระทำลงไป มันจะมี consequences ตามมาเสมอ

เราก็ต้องรับมันให้ได้

กับใครบางคนที่เขาวีซ่าขาด แล้ววันหนึ่งนึกอยากจะทำอะไรให้มันถูกต้อง นึกอยากจะหาที่ปรึกษา คอยชี้แนะ เราก็ยินดีช่วย บางคนเราก็เหมือนเป็นโค้ชส่วนตัวไปเลย เพราะดูแลกันมานาน และมีการวาง roadmap เรื่องวีซ่า ว่าแต่ละ step จะต้องทำอะไรบ้าง

การที่เราจะไปถึงเป้าหมายได้ เราก็ต้องออกเดินทาง
ถ้าหยุดหรือยืนอยู่กับที่ ชีวิตเราก็จะย่ำอยู่กับที่
การออกเดินทาง คือการลงมือทำ
เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง พักได้ แต่ไม่หยุด มันก็จะถึงจุดหมายปลายทางเอง

น้อง "someone" 2 คนนัดเข้ามาปรึกษาเรานานมาแล้ว น้องทั้ง 2 คนวีซ่าขาด อยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ มานานหลายปี

น้องไม่กล้าเดินทางไปไหน ไม่กล้าไปเที่ยว จะไปไหนมาไหนก็ไม่กล้า จนมาเจอเรา เราก็บอกน้องว่าจริง ๆ แล้วคนวีซ่าขาด มันก็สามารถทำอะไรได้หลายอย่างอยู่นะ

จะเดินทาง จะบิน flight domestic ก็ได้
จะเปิดบัญชีธนาคารก็ได้ และอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง
ชีวิตของน้องทั้ง 2 เริ่มมีความหวัง น้องก็มีการออกเดินทาง เที่ยว นั่น นี่ โน่นบ้าง

ชีวิตของน้องทั้ง 2 เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

ด้วยวุฒิการศึกษาของน้องที่มีมาจากเมืองไทย น้องสามารถทำ Skilled Migrant ได้ เพราะน้องเรียนอยู่ในสาขาที่ทางรัฐบาลต้องการ แต่น้องก็ต้องนับ point ทำแต้มให้ได้

มีการศึกษาที่ดี มันก็เหมือนมีใบเบิกทาง นั่นก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของน้อง แต่สาขาอาชีพของน้องที่เรียนมาจากเมืองไทย การทำ skill assessment ก็ยากมาก เพราะมี requirement ที่สูง แต่นั่นมันเป็นอีกทางเลือหนึ่ง ที่อยู่ใน plan A, B และก็ C ที่เราจัดวางเอาไว้ให้น้อง

น้องขอวีซ่าเพื่อที่จะไปเรียนและทำงานได้
2 คนสามารถทำงานได้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ
2 คนสามารถไปเรียนได้
เราก็ทำเรื่อง RPL ให้น้องเพื่อที่จะย่นระยะเวลาในการเรียน แล้วให้น้องใช้ RPL ตัวนั้นไปต่อยอดในการเรียน

น้องเลือกที่จะเรียนทางด้านสาย chef เพราะน้องทำงานในครัวมาโดยตลอด น้องทำงานที่ร้านฝรั่ง ไม่ใช่ร้านไทย

เราทำ RPL Cert IV Commercial Cookery ให้น้อง
และน้องก็เอาไปต่อยอดเพื่อไปเรียน Diploma of Hospitality Management

ชีวิตช่วงที่น้องทำงานด้วย เรียนไปด้วยก็ไม่ได้สบายมาก

เลิกงานที่ cafe 3pm-4pm ก็ต้องนั่งรถบัสไปเรียนต่อจนค่ำ

ตกดึกที่บ้านก็ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบภาษาอังกฤษ

ทุกช่วงของชีวิตน้องก็คอย update เราทาง inbox ตลอด

รู้สึกว่า IELTS ของน้อง แรก ๆ ที่สอบ สอบก่อนที่จะเริ่มอ่านหนังสือ เพื่อให้รู้ว่าตัวเองอยู่ในระดับไหน เราคิดว่าน้องได้ประมาณ IELTS overall 4.5 นะ (ถ้าจำไม่ผิด)

แต่น้องก็มีความเพียร ไม่ลดละ เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ละก็ลงสอบติว PTE Academic ด้วย

น้องคุยหลังไมค์กับเราตลอด

หลาย ๆ ครั้งที่เราไปทำงานที่ Sydney น้องทั้ง 2 ก็จะขอนัดเวลาไปทานข้าวกัน

ปรกติเราเป็นคนไม่ทานข้าวกับลูกค้า ไม่ได้หยิ่ง แต่ไม่มีเวลา การที่จะให้เราไปนั่งทานอะไรนาน ๆ กับใคร เราทำไม่ค่อยได้หรอก เพราะเวลาเรามีจำกัด เพราะเป็นพวก "grab and go" รีบกินรีบเสร็จมากกว่า นั่งทานอะไรนาน ๆ คือทานกับคนในครอบครัวเท่านั้น

แต่สำหรับน้อง 2 คนนี้ รู้สึกว่าเราทานข้าวร่วมกันมาก็น่าจะ 4 ครั้งแล้วนะ เพราะบางทีช่วงวันหยุดที่วันไหนเราไปทำธุระในเมืองกับครอบครัวเรา เราก็ชวนน้องเขาออกมาทานอะไรด้วยกันด้วย

หรือบางทีเราไป Sydney ช่วงวันหยุด เราก็จะ post ที่ page ส่วนตัวของเรา น้องก็ทักเข้ามานัดทานข้าว แบบนี้ก็มี

เราดูแลกันอย่างใกล้ชิด แบบเสมือนโค้ชส่วนตัว เพราะเราคุยกันใน inbox เยอะมากและน้องก็เห็นการเคลื่อนไหวของเราตลอดจาก facebook page ส่วนตัว "John Paopeng เพราะฉะนั้น" เราก็เลยมีเรื่องคุยกันเยอะ

น้องเรียนจบ Diploma of Hospitality ทำงานเป็น Chef ที่ร้านอาหารฝรั่ง

ร้านก่อนหน้านี้ น้องเป็นคนทำงานในครัวคนเดียวที่มีวุฒิการศึกษา Cert IV Commercial Cookery + Diploma of Hospitality เจ้าของร้านก็เลยชอบเป็นพิเศษ เพราะทาง council มาตรวจ ทางร้านก็สามารถโชว์ได้ว่า คนที่ทำงานในครัวมีความรู้เรื่องอาหารและความสะอาดในครัว

ผ่านการตรวจสอบเรื่อง food health and safety

ทั้งร้าน พนักงานในครัวมีน้องคนเดียวที่มีการวุฒิการศึกษาทางด้านการทำอาหาร มี Diploma

ฝรั่งและพนักงานคนอื่น ๆ ไม่ได้จบอะไรมาเลย

เจ้าของร้านก็เลยเริ่มส่งคนงานอื่น ๆ ไปเรียนบ้าง และเลือกเอาน้องเป็น role model เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพนักงานคนอื่น ๆ

ที่น่าประทับใจก็คือ ร้านก่อนหน้านี้ที่น้องทำงาน ค่าแรงของน้องอยู่ที่ $59,*** ต่อปี ก็เกือบ ๆ $60,000 ต่อปี ขาดอยู่อีกไม่กี่ดอลล์

ซึ่งเราถือว่าเป็นค่าแรงที่สูงมากสำหรับคนทำงานในสาขาอาชีพนี้

สูงมากกว่าคนที่ทำงานเป็น chef หรือ cook ที่เขาขอวีซ่า subclass 457, subclass 482 หรือ subclass 186, subclass 187 อีก ที่เราทำวีซ่าทำงานให้กับหลาย ๆ คน หลาย ๆ case ที่ผ่านมา ร้านพวกนั้นก็จ้างกันอยู่ที่ $54,000 บ้างหละ $55,000 บ้างหละ ไม่ได้มากอะไรเลย

นี่คือคนที่ครั้งหนึ่งเป็นคนวีซ่าขาดมาก่อน เขาได้มีโอกาสไปเรียน เขาได้มีโอกาสได้ทำงานที่ถูกต้องตามกฏหมาย มีรายได้ $60,000 ต่อปี นั่นคือร้านเก่านะ

ตอนนี้น้องเปลี่ยนร้านทำงานแล้ว
รายได้อยู่ที่ $61,200 - $65,000 (มี overtime pay)

และแฟนของน้องก็ทำงานในสายอาชีพคล้าย ๆ กัน
มีรายได้อยู่ที่ $58,000 - $60,000 ต่อปี

2 คนรวมกัน ถือว่าเป็นรายได้ที่ดีมาก

และน้องทั้ง 2 ก็มีสวัสดิการทำงานที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง มี sick leave, มี holiday leave

นี่คือจากคนที่วีซ่าขาด แล้วเข้ามาให้เราวาง roadmap เส้นทางชีวิตและการขอวีซ่าให้

IELTS จากแต่ก่อนที่ได้แค่ 4.5 ตอนนี้น้องปั่นมาถึง 7 each band แล้ว

หลาย ๆ คนที่บอกว่าท้อ บอกว่ทำไม่ได้ แค่ 6 each band ก็ยากแล้ว

อะไรที่มันสำคัญกับชีวิตเรามากพอ เราจะจัดสรรห์เวลาให้มันได้เสมอ


น้องแบ่งเวลาในการอ่านหนังสือสอบ เตรียมตัวสอบ
จากคนที่วีซ่าขาด จากคนที่ได้ IELTS overall 4.5 ตอนนี้กลายเป็น IELTS each band 7 (general)

ทุกอย่างในชีวิต เราสร้างมันขึ้นมาได้ ด้วยสมองและสองมือที่มี

เราดีใจที่น้องทั้ง 2 ได้เดินทางมาถึงจุดนี้ได้

แต่มันก็ยังมี step ต่อไปที่เราจะต้องทำกัน
ส่วนเราจะทำอะไรกันต่อ ขอเก็บเอาไว้เป็นเรื่องราวของเรากับน้อง 2 คนก็แล้วกัน

แต่ละ case มันไม่เหมือนกัน
ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องทำอะไรได้แบบนี้
ทุกสิ่งอย่างต้องดูปัจจัยอย่างอื่นด้วย

อย่างเช่นอายุ (ต่ำกว่า 45)
วุฒิการศึกษา
ผลภาษาอังกฤษ
และอื่น ๆ อีกมากมาย

แต่เราก็แค่อยากจะบอกว่า ทุกปัญหามีทางออก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


เป้าหมายของชีวิตและ goal in life ของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป

มันก็แล้วแต่เราว่าเราอยากได้มันมากหรือเปล่า

แรงขับเคลื่อนของเรามีมากพอหรือเปล่า

สุดท้ายนี้ ชีวิตใครตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นอะไร ยังไง ที่ไหนก็ตามแต่ เราขอเอาใจช่วยทุกสิ่งอย่าง

มีอะไรทักเข้ามาได้
เราไม่รับสายแปลก ถ้าจะโทรมา ให้ SMS เข้ามานัดเวลาก่อน
ถ้าจะให้ดี ติดต่อเราทาง inbox, email และ LINE จะดีที่สุด เดี๋ยวเราจะติดต่อกลับไปเอง

ขอให้วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ดีเหมือนเช่นทุก ๆ วันที่ผ่านมา
ขอให้พรุ่งนี้เป็นที่วันที่ดี ที่สุขและสำเร็จในสิ่งที่ทุกคนเลือกทำ

มีสติตั้งมั่น
มีสติกับสิ่งที่เราทำอยู่ ณ ปัจจุบัน

มีประโยชน์โปรดแชร์
ໃຫ້ຄໍາປຶກສາແລະຮັບເຮັດວີຊ່າອອສເຕເລຍທຸກຊະນິດ
オーストラリア全てのビザに対応します

No comments:

Post a Comment