Tuesday, December 6, 2022

เพื่อนที่ไม่ค่อยดี; Fiji

ณ กาลครั้งหนึ่ง P' J ทำงานในองค์กรของรัฐบาลที่นี่ ทำ full-time ด้วย ตอนนั้นเพิ่งเริ่มทำ "J Migration Team" เพิ่งเริ่มเตาะแตะ ทำคนเดียว ไม่มีทีมงาน เอาง่าย ๆ ก็คือทำเป็น sideline job

P' J เคยรับราชการที่นี่มาก่อนจ๊ะ
ตอนนี้ก็ยังรักษาตำแหน่งอยู่ (กว่าจะเรียนจบ กว่าจะได้ตำแหน่งมาก) เหลืออีก 2 ปีก่อนที่เค๊าจะปลด P' J ออกจากระบบ

สถานที่ทำงานแห่งนั้น ก็เต็มไปด้วยเพื่อนร่วมงานฝรั่งหรือไม่ก็พวก ABC (Australian Born Chinese) 

สถานที่ทำงานในองค์กรรัฐบาลค่อนข้างแตกต่างจากสถานที่ทำงานในบริษัทเอกชน เพื่อนร่วมงาน 99.99% ค่อนข้างจะ family oriented, เลิกงาน-กลับบ้าน และทุกคนมีชีวิตส่วนตัวของใครมัน 

Carpark ที่ที่ทำงานะโล่งภายใน 5 นาทีหลังจากที่เลิกงาน

กับองค์กรแบบนี้ มิตรแท้นั้นหายาก หรือแทบจะไม่มี เพราะทุกคนมีโลกส่วนตัวนอกเหนือจากสถานที่การทำงาน บางคนทำงานด้วยกันมา 20 ปี เพื่อนร่วมงานยังไม่เคยเจอหน้าสามีหรือภรรยาของเพื่อนที่ทำงานเลยก็มี

ประสบการณ์ชีวิตทำงานในองค์กรต่าง ๆ ถ้าจะเล่านะ
เล่าทั้งวันก็ไม่หมด

ในองค์กรใหญ่ ๆ แบบนี้ ความเย็นชาและชาเย็นต่อเพื่อนร่วมงานมันมีอยู่แล้วหละ กับเปลือกนอกที่ดู friendly ตามสไตล์ฝรั่งที่นี่ที่ต้อง say hi, hello ตามมารยาท แต่บอกได้เลยว่า "It means nothing"

ในความชาเย็นและเย็นชา เราก็ยังพอหามิตรแท้อยู่บ้าง
เรามีเพื่อนร่วมงานจาก department หนึ่ง คืองงมากทำเราทำงานกันละ department แต่ก็ดันไปสนิทกันอีท่าไหนไม่รู้ อาจเป็นเพราะตอนนั้นเราเด็กมาก ทำงานเงอะ ๆ งะ ๆ ทำอะไรไม่ค่อยเป็น ครั้นจะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานใน department เดียวกัน โอ๊ยยยยยย หัวจะปวด มีแต่คนแก่ ๆ พูดกันคนละภาษา คนละ generation ดูเหมือนหลาย ๆ คนก็เช้าชามเย็นชามรอเกษียณ เจอมาหมดแล้วจ๊ะ ชีวิตการทำงานในองค์กรที่นี่ 

ในองค์กรรัฐบาล การเลื่อนขั้นหรือเลื่อนตำแหน่งค่อนข้างยาก เพราะตำแหน่งมีจำกัด ดังนั้นการแทงข้างหลังกัน การเลื่อยขาโต๊ะ มันมีให้เห็นทุกวันครับ เรื่องปกติมาก

ในความเวอร์วังขององค์กรใหญ่แบบนี้
เราก็ได้มิตรแท้มา 1 คน (แค่ 1 คนจริง ๆ ขุ่นพระ)
เราน่าจะเป็น JP (Justice of the Peace) คนเดียวในองค์กรนี้ เราก็เลยได้มีโอกาสเซ็นเอกสารทางราชการ และพวก legal documents อะไรหลาย ๆ อย่างให้กับเพื่อนร่วมงาน และก็เซ็นให้กับเพื่อนร่วมงานคนนี้ด้วย เราก็เลยมีเรื่องราว confidential หลายอย่างที่เราคุยกัน ความสนิทมันก็ค่อย ๆ เริ่มขึ้น

OK แหละ เรามารับตำแหน่งชั่วคราวที่นี่แค่ 1 ปี ก่อนที่จะย้ายไปรับตำแหน่งและบรรจุเป็นข้าราชการถาวร (permanent full-time) ที่อื่น เราก็ยังทำงานที่กระทรวงเดิม แค่เปลี่ยนสถานที่ทำงานแค่นั้นเอง

เพื่อนที่ทำงานเก่าคนนี้เป็นชาว Fiji 
เขาก็เป็น Austraian citizen แหละ ขอวีซ่าด้วย Skilled Independent Visa
เพื่อนเราเป็นลูกชายคนเดียว อยากจะทำเรื่องสปอนเซอร์ให้กับคุณแม่ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง เพราะสมันก่อนโน้น เพื่อนก็ไม่ได้มีความรู้ว่าจะต้องทำอะไร ยังไง เพราะคุณแม่อายุก็เลยการขอ Skilled Independnt Visa ไปแล้ว

เราเรียกคุณแม่ของเพื่อนว่า mom เพราะเราค่อนข้างสนิทกัน

mom ไม่ qualify ที่จะขอ Skilled Independent Visa เพราะ mom อายุเยอะแล้ว ถึงแม้ mom จะเป็นพยาบาล Registered Nurse ก็เถอะ

เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเพื่อนเราไม่ทำ Parent Visa ให้ mom ไปเลยเพราะเพื่อนเราคือลูกชายคนเดียวของ mom ตอนนั้นอาจจะยังไม่พร้อมเรื่องการเงิน หรืออาจจะยังไม่มีที่ปรึกษาทางด้านวีซ่าที่ถูกต้องก็ได้ อันนี้เราก็ไม่กล้าระราบระล้วง

mom ก็เลยทำเรื่องจาก Fiji แล้ว migrates ไปที่ New Zealand พอ mom ได้ New Zealand citizenship, mom ก็ย้ายมาอยู่ที่ Autralia กับลูกชาย

ถ้าไปทางตรงไม่ได้ ก็ไปทางอ้อมนะครับทุกค๊นนนนนนนน

Mom สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศออสเตรเลียได้ ตราบจนชีวิตจะหาไม่ เพรา mom ถือ New Zealand passport แต่มันก็มีข้อจำกัดอะไรหลาย ๆ อย่าง หลายปีผ่านไป เมื่อเพื่อนเราการเงินพร้อม และอะไรหลาย ๆ อย่าง เพื่อนเราบอกว่าอยากจะขอ PR ให้ mom, Aged Parent Visa (contributory) และก็อยากจะขอ Australian citizenship ให้ mom ด้วย

ด้วยความที่เราก็เพื่อนที่ไม่ค่อยดีนัก
นี่แหละความสนิทสนม บางทีมันก็ "อะไร ยังไง ก็ได้"

เพื่อน WhatsApp ช่วงปีใหม่มาคุยเรื่องของคุณแม่ เราก็แค่บอกไปว่า "ได้ ๆ เดี๋ยวค่อยว่ากัน" (I hate myself sometime)

No comments:

Post a Comment