Sunday, April 3, 2016

วีซ่าออสเตรเลีย ทำไมคนถึงเป็นผี วีซ่าขาดกัน


หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมนะคนถึงต้องกลายเป็นผี ทำไมคนถึงปล่อยให้ตัวเองวีซ่าขาดด้วย ก่อนอื่นก็ต้องบอกก่อนนะครับว่า ชีวิตคนเรามีต้นทุนชีวิตไม่เหมือนกัน พื้นฐานและฐานะทางครอบครัวและการเงินไม่เหมือนกัน ชีวิตเขาอาจต่างจากชีวิตเรา เราจะเอามาเปรียบเทียบ หรือ compare กันไม่ได้

คนเรามีความจำเป็นที่แตกต่างกันออกไป แต่เรามั่นใจว่า ถ้าคนเหล่านั้นเลือกได้ พวกเขาก็คงจะไม่เลือกที่จะอยู่เป็นพวกวีซ่าขาดกันหรอก พวกเขาก็คงไม่อยากอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ อยู่อย่างหวาดผวา แต่เราก็ได้เขียน blog ไปก่อนหน้านั้นแล้วว่า คนที่วีซ่าขาดนั้นไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ

เดี๋ยววันนี้เราขอเขียน blog ที่เป็นวิชาการนิดหนึ่ง ออกแนว academic ว่าทำไมคนที่มาที่ออสเตรเลียถึงปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นพวกไม่มีวีซ่ากัน

คนไทยชอบพูดกันติดปากและเรียกคนที่วีซ่าขาดว่าเป็น "ผี" เราก็ไม่รู้นะว่าใครเป็นคนชั่งริเริ่ม พากันคิด พากันเรียกเหลือเกิน ชั่งสรรค์หาคำจริงๆ คำๆนี้มีใช้กันมานานแล้ว แต่เราขอเลิกใช้คำๆนี้ ณ จุดนี้เป็นต้นไปก็แล้วกัน ขอใช้คำว่า "วีซ่าขาด" แทนก็แล้วกัน เพราะคำว่าผี มันฟังแล้วรู้สึกว่าทำให้เราหมดความเป็นคน ยังไงไม่รู้

ภาษาทางกฏหมายเราเรียกคนที่วีซ่าขาดว่า unlawful non-citizen ซึ่งสาเหตุก็มาจาก 3 ประการใหญ่ๆด้วยกันคือ:

  • overstay; พวกที่อยู่เกินอายุของวีซ่า พวกที่วีซ่าหมดแล้วแต่ไม่ยอมกลับประเทศของตัวเอง ไม่ใช่เฉพาะคนไทยนะ คนชาติอยู่ก็เยอะแยะ
  • visa has been cancelled; พวกที่วีซ่าถูกยกเลิก ส่วนมากก็เป็นเพราะไม่ทำตามเงื่อนไข หรือ conditions ต่างๆของวีซ่าตัวนั้นๆ
  • visa has been refused; พวกที่ขอวีซ่าตัวใหม่ภายในประเทศ (onshore) แล้ววีซ่าไม่ผ่าน แต่ไม่ยอมกลับประเทศ

เมื่อหลายปีก่อน ทางอิมมิเกรชั่นมีโปรแกรมที่เรียกว่า General Skilled Migrant (GSM) ซึ่งตอนนี้ก็เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Independent Skilled Migrant แล้ว

ก่อน 1 July 2012, GSM สมัยนั้น ต้องทำ point กันที่ 120 points และแต่ละสาขาอาชีพก็มี point ที่แตกต่างกัน

ก่อนปี 2008/2009 สาขาอาชีพยอดฮิตของคนที่ทำ GSM คือ Chef และ Hairdresser เพราะว่าเรียนง่าย ไม่ว่านักเรียนคนไทย คนจีน หรือคนอินเดีย พากันแห่ลงทะเบียนเรียน Commercial Cookery และก็ Hairdressing กันใหญ่

แต่พอได้ PR กันแล้ว ไม่เห็นมีใครไปเป็น chef หรือไปเป็น hairdresser เลย 

คนได้ PR เพราะว่าเรียน Commercial Cookery และก็ Hairdressing กันเยอะแยะมากมาย แต่ว่าออสเตรเลียก็ยังขาดแคลนคนทำงานในสาขาอาชีพนี้อยู่ โดยเฉพาะ chef เพราะธุรกิจการท่องเที่ยวและร้านอาหาร เป็นธุรกิจที่นำรายได้เข้าประเทศมาก นั่นเป็นสาเหตุหลักที่รัฐบาลให้ PR กับคนที่เรียน Commercial Cookery (และก็ Hairdressing กัน) แต่ปัญหาการขาดแคลนคนในสาขาอาชีพนี้ก็ยังมีเยอะ เพราะคนพากันเรียน Commercial Cookery และก็ Hairdressing เพื่อที่จะเอา PR เฉยๆ พวกเขาไม่ได้คิดที่จะไปเป็น chef หรือ hairdresser กัน พอได้ PR กัน ก็พากันไปทำอย่างอื่น เพราะว่า PR ไม่ได้มีข้อกำหนดหนิว่า you ต้องเป็น chef นะ หรือ you ต้องเป็น hairdresser นะ 

นี่คือปัญหาและรูรั่วที่ต้องรัฐบาลต้องอุด ดังนั้นปี 2008/2009 รัฐบาลก็เลยมีการประกาศปลดเอาอาชีพ 2 อาชีพนี้ออกจาก GSM list สะเลย แบบว่าให้มันจบๆกันไป

ดังนั้นนักเรียนหลายหมื่นคนก็ถูกลอยแพ และหลายๆหมื่นคนก็เลือกที่จะเป็น พวกวีซ่าขาดกัน เพราะเรียน Commercial Cookery และ Hairdressing จบมาแล้ว ไม่สามารถขอ PR ด้วยโปรแกรมของ GSM ได้และก็ไม่อยากที่จะกลับประเทศด้วย มันก็เลยก่อให้เกิดสึนามิของคนที่ overstay ทันที แต่บอกได้เลยว่า ไม่ใช่เฉพาะนักเรียนไทยหรือคนไทยที่เป็นกัน คนชาติอื่นก็เป็นกันเยอะแยะ

อีกกลุ่มหนึ่งก็จะเป็นพวกที่ขอวีซ่ามาเรียนแต่ไม่ได้ตั้งใจมาเรียน ตั้งใจมาทำงานมากกว่า หลายๆคนไม่อยากไปเรียน ไม่อยากเสียค่าเทอม ก็เลือกที่จะยอมให้วีซ่านักเรียนโดนยกเลิกไปเลยก็มีเยอะแยะ บอกตามตรงว่า โดยส่วนตัวแล้วเราไม่ชอบคนกลุ่มนี้เท่าไหร่ เพราะมันทำให้ระบบ Australian Migration ไขว้เขว แต่ก็อย่างว่าแหละนะ นี่มันคือความคิดเห็นส่วนตัวของเรา คนอื่นเขาก็มีความเห็นส่วนตัวของเขา.... ถูกป๊ะ.... 

แต่เอาเถอะ ก็คิดสะว่า ทางเลือกของใครของมันก็แล้วกัน

นี่ก็เป็น 2 สาเหตุใหญ่ๆที่ทำไมคนถึงวีซ่าขาดกัน จริงๆมันก็มาจากหลายสาเหตุแหละนะ แต่เราขอเอาแค่ 2 สาเหตุนี้ก็แล้วกัน

จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ เราก็อยากจะให้ทุกคนเข้าใจถึงสถานะแล้วความจำเป็นของคนเหล่านั้น อาจจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ เราอยากจะให้คนทั่วๆไปให้โอกาสกับคนเหล่านั้น เพราะบางทีเราเห็นคน post นั่น นี่ โน่น ตาม webboard ต่างๆอ่านแล้วมันหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะคนไทยด้วยกันเอง

อยากจะให้ทุกคนเข้าใจถึงความจำเป็นของพวกเขาเหล่านั้นกัน.... ก็แค่นั้นเอง ไม่ต้องการเห็นใครซ้ำเติมอะไรใคร เพราะมันเป็นอะไรที่ไร้สาระมาก.... ถึงมากที่สุด...

ก็เอาเป็นว่า "คนล้มอย่าข้าม" ก็แล้วกันนะ...

No comments:

Post a Comment